KS Daily View 18.06.2025 >>> ทรัมป์บีบอิหร่านยอมจำนน หนุนราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นแรงและคาดหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานไทย คาด SET Index วันนี้ กรอบ 1,100-1,115 จุด แนะนำ PTTEP และ TOP

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ดัชนี S&P500 ลดลง 0.84%, Nasdaq Composite ลดลง 0.91%, และ Dow Jones ลดลง 0.70% จากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านยังคงรุนแรงต่อเนื่องเป็นวันที่ห้า ส่งผลให้ความวิตกกังวลของนักลงทุนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่กองทัพสหรัฐฯ ส่งเครื่องบินรบไปร่วมเสริมกำลังในตะวันออกกลางเพื่อเตรียมรับสถานการณ์

ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,113.58 จุด ปรับตัวลดลง 0.91 จุด (-0.08%) จากการปรับลงของกลุ่มพลังงาน, อิเล็กทรอนิกส์, และสื่อสาร ในวันนี้ เราคาดว่า SET Index ของไทยมีแนวโน้มแกว่งตัว ในกรอบ 1,100-1,115 จุด จากภาพในต่างประเทศกลับมาผันผวน หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เรียกร้องให้อิหร่าน “ยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข” พร้อมเตือนว่าความอดทนของสหรัฐฯ กำลังลดลง ทั้งนี้สหรัฐฯ ส่งเครื่องบินรบเสริมในตะวันออกกลางแต่ยังคงจำกัดปฏิบัติการเฉพาะการป้องกันเท่านั้น หนุนให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นแรงในคืนที่ผ่านมา และคาดว่าจะหนุนให้หุ้นกลุ่มพลังงานของไทยปรับตัวขึ้น ส่วนของในประเทศติดตามการพิจารณาและอนุมัติกรอบวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทที่คาดว่ากระทรวงคมนาคมจะได้จำนวนเม็ดเงินมากที่สุด แม้ว่ามีการปรับลดกรอบวงเงินจากครั้งก่อนหน้า ในส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำเก็งกำไรระยะสั้นหุ้นที่ได้ประโยชน์ จากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมัน อย่าง PTTEP และ TOP

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1) ครม. มีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถยนต์ Formula One (F1) โดยจะจัดขึ้นในพื้นที่บริเวณสวนจตุจักร กรุงเทพมหานคร ระยะทาง 5.7 กิโลเมตร เป็นเวลา 3 วันต่อปี ตั้งแต่ปี 2028–2032 ด้วยงบประมาณรวมกว่า 41,397 ล้านบาท คาดว่าจะมีผู้เข้าชมกว่า 299,000 คนต่อปี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยสร้างเงินหมุนเวียนประมาณ 16,000 ล้านบาทต่อปี และสร้างรายได้จากภาษี 1,400 ล้านบาทต่อปี มองเป็นบวกกับกลุ่มท่องเที่ยวอย่าง CENTEL ERW AWC AAV BA

2) กระทรวงคมนาคมได้รับการปรับลดงบประมาณที่เสนอจากกรอบวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท เหลือ 40,000 ล้านบาท จากเดิม 56,666-60,000 ล้านบาท โดยที่จะมีการพิจารณาและอนุมัติจากที่ประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจโดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในวันนี้ มองเป็นจิตวิทยาเชิงลบเล็กน้อยกับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง CK STECON

3) ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นกว่า 4% ในคืนที่ผ่านมา หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เรียกร้องให้อิหร่าน “ยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข” พร้อมเตือนว่าความอดทนของสหรัฐฯ กำลังลดลง และให้ทุกคนอพยพออกจากกรุงเตหะรานโดยไม่มีการขู่ว่าจะโจมตีโดยเฉพาะ แต่ย้ำว่าอิหร่านจะต้องไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งนี้สหรัฐฯ ส่งเครื่องบินรบเสริมในตะวันออกกลางแต่ยังคงจำกัดปฏิบัติการเฉพาะการป้องกันเท่านั้น ส่งผลให้ตลาดมีความกังวลว่า มีความเป็นไปได้ที่อิหร่านอาจปิดช่องแคบฮอร์มุซที่คิดเป็นประมาณ 20% ของ Global supply ของน้ำมันดิบ มองเป็นบวกกับหุ้นกลุ่มพลังงาน อย่าง PTTEP

4) ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลของโลก (Digital Asset Hub) โดยกระทรวงการคลังเสนอให้ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกำไรจากการขายสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2025 ถึง 31 ธ.ค. 2029 เพื่อสนับสนุนให้การซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลเกิดขึ้นภายในระบบที่ถูกต้องตามกฎหมายและช่วยกระตุ้นการระดมทุนด้วยโทเคนดิจิทัล ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศ มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกเล็กน้อยกับ SCB GULF

5) สหรัฐฯ เปิดเผยว่ายอดค้าปลีกเดือนพฤษภาคมลดลง 0.9% MoM มากกว่าคาดและการผลิตภาคอุตสาหกรรมก็หดตัวที่ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงจากนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ ส่งผลให้ความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น แม้อัตราเงินเฟ้อจะยังไม่พุ่ง แต่ความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ และสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางซึ่งผลักดันราคาน้ำมันสูงขึ้น กำลังสร้างความกดดันต่อ Fed ที่พยายามควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมาย 2% ตลาดคาดว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25%-4.50% ในการประชุมที่จะถึงนี้

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

PTTEP: ราคาพื้นฐาน 116.00 บาท

เราแนะนำเก็งกำไร PTTEP เพื่อเป็น proxy ในการ hedge ราคาพลังงานที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องสำหรับสงครามในตะวันออกกลาง และท่าทีของ อิหร่านที่จะมีโอกาสปิดช่องแคบฮอร์มุส ซึ่งนับเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการส่งออกพลังงานจากตะวันออกกลางคิดเป็นราว 20% ของการค้าพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ หากช่องแคบนี้ปิดตัวลงคาดจะส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานในระยะยาว จนกว่าเหตุการณ์จะสงบลง นอกจากนี้ ผู้บริหารให้มุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มราคาน้ำมันและปริมาณการผลิตของบริษัท โดยราคาน้ำมันผู้บริหารมองว่าจะอยู่ในกรอบ 65-75 เหรียญ/บาร์เรลจากความไม่แน่นอนของความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ อีกทั้ง ต้นทุนของผู้ผลิต US shale oil ก็ปรับเพิ่มจากวัฏจักรก่อนหน้าเป็น 60 เหรียญ/บาร์เรล โดยในส่วนของปริมาณผลิต ผู้บริหารมองว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดของปีแล้วในไตรมาส 1/25 เนื่องจากกิจกรรมการปิดซ่อมบำรุงจะลดลงในช่วงที่เหลือของปี

TOP: ราคาพื้นฐาน 33.30 บาท

เราแนะนำเก็งกำไรหุ้น TOP ซึ่งเป็นโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีกำลังการกลั่น 275,000 บาร์เรลต่อวัน และครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 30% ปัจจุบันหุ้นซื้อขายอยู่ในระดับมูลค่าต่ำสุดในประวัติศาสตร์ ด้วย PBV เพียงแค่ 0.4 เท่า ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 และอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -2SD ประกอบกับสงครามใน ตะวันออกกลางที่รุนแรงขึ้นคาดส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง คาดการณ์ Inventory loss จะกลับกลายเป็น gain แทนใน 2Q25 เราคาดว่า GRM จะฟื้นตัวในระยะสั้นในไตรมาส 2Q68 หนุนจากการบริโภคน้ำมันที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลในช่วงขับขี่ของตลาดหลัก นอกจากนี้ ปริมาณสต็อกของก๊าซโซลีนและน้ำมันดีเซลยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ซึ่งส่งผลให้ Singapore GRM ปรับตัวดีขึ้น โดยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 5 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาส 2 จาก 3.16 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลใน 1Q25

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันพุธ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของสหภาพยุโรป (EU CPI) เดือน พ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +1.9% YoY ทรงตัวเดือนก่อนหน้า ต่อด้วยการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอย่าง รายงานจำนวนที่อยู่อาศัยเริ่มสร้าง (Housing Starts) ของสหรัฐ เดือน พ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 1.359 ล้านหลัง ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 1.361 ล้านหลัง ต่อด้วย รายงานใบอนุญาตก่อสร้างบ้าน (Building Permits) ของสหรัฐ เดือน พ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 1.425 ล้านหลัง เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 1.422 ล้านหลัง ปิดท้ายด้วยผลการประชุม FOMC โดยตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะคงอัตราดอกเบี้ยและเปิดเผยคาดการณ์แนวโน้มของเศรษฐกิจของสหรัฐจากทางธนาคารกลาง (FOMC Economic Projections)
  • วันพฤหัสบดี ติดตามจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดคาดการณ์ที่ 2.45 แสนตำแหน่งเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.48 แสนตำแหน่ง
  • วันศุกร์ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของญี่ปุ่น (Japan Inflation) เดือน พ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +3.5% YoY ลดลงเดือนก่อนหน้าที่ +3.6% YoY และเงินเฟ้อที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ตลาดคาดการณ์ที่ 3.2% YoY เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 3.0% YoY ปิดท้ายด้วยการรายงาน Loan prime rate ของธนาคารกลางจีนเดือน ต.ค. ระยะเวลา 1 ปีคาดการณ์ไว้ที่ 3.0% ทรงตัวจากครั้งก่อนหน้า และ Loan prime rate อายุ 5 ปีคาดการณ์ไว้ที่ 3.5% ทรงตัวจากครั้งก่อนหน้า
- Advertisement -