บล.ฟินันเซีย ไซรัส: 

STARFLEX (SFLEX TB) มาร์จิ้นอาจถึงจุดสูงสุด ปรับมุมมองใหม่

  • เราคาดกำไรปกติ 2Q25 -10.7% q-q จากผลของฤดูกาล บวกกับเงินบาทที่แข็งค่าอย่างมาก กระทบการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบ.ร่วมในเวียดนาม
  • เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2025-27 โดยหลักมาจากการปรับลดอัตรากำไรขั้นต้น
  • คงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปรับลดลงเป็น 3.90 บาท

การขยายตัวของอัตรากำไรขั้นต้นเริ่มมีข้อจำกัด

หลังจากกำไรปกติยกฐานสูงมาราว 2 ปีจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 23-24% จาก 15-20% ก่อนหน้านั้น เพราะต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับลงตามราคาน้ำมันและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เราคิดว่าอัตรากำไรขั้นต้นไม่สามารถปรับขึ้นได้เรื่อยๆ ไม่จำกัด ในทางตรงกันข้าม ราคาน้ำมันที่ปรับลงต่อเนื่องยาวนาน บริษัทอาจจำเป็นต้องปรับลดราคาขายบ้าง เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ผลิต OEM ที่รักษาส่วนต่างกำไร

ปรับลดประมาณการ

เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับลงเร็วในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เราจึงทบทวนประมาณการและปรับลดกำไรปกติในปี 2025-27 ลง 9%/4%/2% หลักๆ มาจากการปรับลดอัตรากำไรขั้นต้นลงจากเดิมเฉลี่ยประมาณ 1% เป็น 24.1-24.3% และปรับลดส่วนแบ่งกำไรจาก Starprint Vietnam ลงจากเงินบาทที่แข็งค่าค่อนข้างมาก 5% ในปี 2025 YTD ภายหลังการปรับประมาณการ เราคาดกำไรปกติปี 2025 ลดลง 2.6% y-y เป็น 271 ล้านบาท และปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2.1% y-y ในปี 2026 จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขาย

คาดกำไร 2Q25 ถูกกระทบจาก low season และอัตรากำไรที่ชะลอ

สำหรับผลประกอบการใน 2Q25 ซึ่งเป็น low season เราคาดรายได้ 471 ล้านบาท (-4.3% q-q, +4.0% y-y) คาดอัตรากำไรขั้นต้นชะลอลงเป็น 23.4% จาก 24.5% ใน 1Q25 เชื่อว่าในไตรมาสนี้จะเริ่มเห็นการเจรจาต่อรองราคาจากลูกค้าบ้าง และรับรู้กำไรจาก Starprint Vietnam ลดลงจากที่เคยคาดก่อนหน้านี้เพราะเงินบาทที่แข็งค่าเร็ว ส่งผลให้เราคาดกำไรปกติ 58 ล้านบาท (-10.7% q-q, +11.3% y-y)

คงคำแนะนำซื้อ แม้ปรับราคาเป้าหมายลง

เราปรับลด Target P/E ลงเป็น 12 เท่าจาก 13 เท่า จากการเติบโตชะลอ ทำให้ได้ราคาเป้าหมายใหม่เป็น 3.90 บาท แม้จะคาดว่ากำไรปีนี้จะลดลง ส่วนหนึ่งเพราะปีก่อนฐานสูง แต่คงคำแนะนำซื้อ เพราะยังเป็นระดับกำไรที่แข็งแกร่งมากเมื่อเทียบกับอดีต ทั้งนี้ การซื้อหุ้นคืนจนถึงวันที่ 12 มิ.ย. บริษัทซื้อหุ้นคืนแล้วทั้งสิ้น 16.3 ล้านหุ้น (2.0% ของทุนชำระแล้ว) ราคาเฉลี่ย 2.98 บาท/หุ้น บริษัทยังเหลือจำนวนหุ้นซื้อหุ้นในโครงการอีกไม่เกิน 11.5 ล้านหุ้นภายในวันที่ 30 ก.ย. 2025

- Advertisement -