เต็มไปด้วยแรงกดดัน

Market Update

ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปิดบวกเล็กน้อย 35 จุด (+0.08%) แต่อย่างไรก็ตามดัชนี Nasdaq, S&P500 ปิดในแดนลบ นักลงทุนยังกังวลกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.4% หลังจากสหรัฐฯ ประกาศมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน

Market Outlook

คืนวันศุกร์ที่ผ่านมาไม่ได้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของฝั่งสหรัฐฯ นักลงทุนกลับมาให้น้ำหนักกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ซึ่งข้อมูลล่าสุดในช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมาช่วงเวลาเช้าของประเทศไทย Trump ได้ระบุใน Truth Social ว่าทางสหรัฐฯ ได้ปฏิบัติการสำเร็จในการโจมตีฐานนิวเคลียร์ของอิหร่าน พร้อมระบุว่าเครื่องบินต่างๆ ของสหรัฐฯ ได้เดินทางกลับสู่สหรัฐฯ อย่างปลอดภัย ด้านอิหร่านก็ระบุว่าการที่สหรัฐฯ โจมตีฐานนิวเคลียร์จากนี้จะต้องเผชิญการตอบโต้ที่ตามมาไม่รู้จบ พร้อมจัดทุกวิถีทางในการตอบโต้ ซึ่งอิหร่านก็ได้ยิงขีปนาวุธตอบโต้ไปยังอิสราเอล ประเมินเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงต้นสัปดาห์ แต่อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบอาจเร่งตัวขึ้นจากความกังวลอุปทานขาดแคลน บวกกับตลาดหุ้นไทยผ่านหุ้น PTTEP, TOP

สัปดาห์นี้ยังแนะรอติดตามความคืบหน้าสงครามในตะวันออกกลางและควรดูว่าจะเพิ่มความรุนแรงมากกว่านี้หรือไม่ โดยเฉพาะประเทศที่สามหรือส่งสัญญาณปิดช่องแคบ Hormuz ทั้งนี้หากยังรุนแรงต่อเนื่องจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นและราคาน้ำมันดิบ รวมไปถึงทิศทางเงินเฟ้อข้างหน้าของโลก อาจกดดันต่อการบริหารนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก

นอกเหนือจากปัจจัยสงครามแล้ว ตัวเลขเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้จะประกอบไปด้วย (1) ดัชนี PMI (Flash) ทั้งภาคบริการและภาคผลิตจากฝั่งสหรัฐฯ / EU รวมไปถึงยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 3.96 ล้านหลังคาเรือน (ข้อมูลจะรายงานในวันจันทร์) (2) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CB) Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 99.1 ในขณะเดียวกันก็จะมีการแถลงของประธาน FED แต่ก็เชื่อว่าจะไม่มีนัยยะใดต่อตลาดเพราะเพิ่งผ่านพ้นการประชุม FED ในสัปดาห์ก่อน (ปัจจัยข้างต้นอยู่ในช่วงวันอังคาร) (3) เงินเฟ้อสหรัฐฯ (PCE) ในวันศุกร์ Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 2.3% YoY, Core PCE 2.6% YoY

ด้านปัจจัยในประเทศ เชื่อว่านักลงทุนจะให้น้ำหนักกับปัจจัยด้านการเมือง ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้ร่วมประชุมกับพรรคร่วมรัฐบาล พบว่าเตรียมพร้อมจะเดินหน้าต่อ ทำให้ฝั่งรัฐบาลมีจำนวนเสียงอยู่ราว 270 ยังมากกว่าครึ่งหนึ่งของสภา นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในกัมพูชา หลังจากรัฐบาลกัมพูชาตัดสินใจยกเลิกการนำเข้าพลังงานจากไทย ซึ่ง PTT, OR มีรายได้ในกัมพูชาราว 0.5%, 2.5% ของรายได้รวม (กระทบบ้างแต่ไม่ถึงกับมีนัยยะ) แต่กลุ่มพลังงานจะได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น (เช้านี้ +2.5%)

สัปดาห์นี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1040 – 1080 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนระยะกลางขึ้นไปอาจใช้จังหวะที่ Valuation ไม่แพงทยอยสะสมหุ้นได้ในบางส่วน แต่ยังเน้นแค่เพียงบางส่วนเพราะปัจจัยต่างๆ ยังกดดัน เพียงแต่ Valuation เริ่มน่าสนใจ เน้นที่หุ้นใหญ่ อาทิ CPN, CPALL, BDMS, BBL, KBANK, KTB แต่หากรับความเสี่ยงได้สูง ระยะสั้นอาจเลือก Trading ใน หุ้นพลังงาน (PTTEP, TOP)

หุ้นแนะนำซื้อวันนี้

AMATA (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 33.50 บาท)

AMATA จะได้รับผลกระทบไม่มากนักจากการปรับภาษีของสหรัฐฯ เนื่องจากมี Backlog ที่รอรับรู้รายได้อีกกว่า 2,000 ล้านบาท ขณะที่การขายที่ดินตั้งแต่ต้นปียังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นับถึงปัจจุบันมีแล้วกว่า 750 ไร่ และยังมีลูกค้าในกลุ่ม Data Center ที่อยู่ระหว่างเจรจาอีกมากกว่า 3 ราย (ต้องการที่ดินรายละมากกว่า 100 ไร่) โดยบริษัทยังคงเป้าทั้งปีไว้ที่ระดับ 3,000 ไร่ ซึ่งคาดว่าหลังจากได้ข้อสรุปเรื่องภาษีของสหรัฐฯ ยอดขายจะกลับมาเพิ่มขึ้นได้

KTB (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 24.50 บาท)

คาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่ 7.1% ในปี 2025 ด้วยมูลค่าพื้นฐานที่ 24.50 บาท ประเมินด้วยวิธี GGM (ROE 9.5%, Terminal Growth 2%) อิง 0.7x PBV25E ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี (2015–2024) โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวจากความท้าทายสูงขึ้นจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ และความเปราะบางของกลุ่มลูกหนี้รายย่อยและ SME ทำให้ธนาคารต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเติบโต อีกทั้ง NIM อ่อนลงจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง แต่การควบคุมคุณภาพสินเชื่อที่ดีทำให้สามารถผ่อนคลายการตั้งสำรองหนี้ลง และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยช่วยหนุนให้สามารถรักษาการเติบโตของกำไรได้ แม้จะเป็นการเติบโตชะลอตัวที่ 1% / 2% ในปี 2025–26

 

- Advertisement -