SABINA เปิดโหมดลดต้นทุน ดันมาร์จินเพิ่มเดินหน้าปรับโครงสร้างผลิต หวังรักษาความสามารถในการทำกำไร พร้อมเล็งปีนี้เปิดช็อปเพิ่ม 10-15 จุดขาย

SABINA เดินหน้าปรับกลยุทธ์สู้เศรษฐกิจชะลอตัว เปิดโหมดลดต้นทุน-เพิ่มรายได้ เผยผลพวงปรับโครงสร้างผลิต หลังการควบรวมโรงงาน ดูแลโครงสร้างจำนวนพนักงาน ทำให้ต้นทุนฝั่งผลิตลดลง ดันอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margit) ไตรมาสแรกเพิ่มจาก 49.5% ในปีก่อนเป็น 52.5%  เดินเกมรักษาอัตรามาร์จินต่อเนื่อง ด้วยการปรับสัดส่วนสินค้าผลิตเองที่มีมาร์จินสูง กับสินค้าจ้างผลิต ให้เหมาะสมและมีความยืดหยุ่น พร้อมเปิดแผนสร้างรายได้ด้วยการเปิดช็อป สแตนด์ อะโลน ในช่องทางค้าปลีก เพิ่มอีก 10-15 จุดขายในปีนี้ มั่นใจมีโอกาสเลือกจุดขายในทำเลที่ดีในราคาที่ต่อรองได้ มากกว่าช่วงเศรษฐกิจเติบโต ส่วนเป้าหมายช่องทาง NSR เดินหน้าครองอันดับหนึ่งในมาร์เก็ตเพลส ขณะที่ช่องทาง OEM พ้นจุดต่ำสุดแล้ว

นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “ซาบีน่า” เปิดเผยว่า SABINA พร้อมรับมือกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยท้าทายจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้าและอื่นๆ ด้วยการเดินหน้าปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อลดต้นทุนและรักษาอัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin หรือ GPM) อย่างต่อเนื่อง หลังจากผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปี 2568 ที่ผ่านมา อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ อยู่ที่ 52.5% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 49.5%  สะท้อนความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ท่ามกลางความผันผวนได้เป็นอย่างดี

“เรามุ่งไปที่โครงสร้างการผลิต โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มศักยภาพการผลิต แต่ในระหว่างที่เราปรับปรุงโครงสร้างและระบบต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ เราพบว่า เราสามารถลดต้นทุนจากการปรับโครงสร้างการผลิตได้ ตั้งแต่การตัดสินใจควบรวมโรงงานบุรีรัมย์เข้ากับโรงงานยโสธร ทำให้ต้นทุนค่าเช่า ต้นทุนการผลิต รวมถึงต้นทุนพนักงานฝั่งผลิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA กล่าว

บริษัทฯ ยังเดินหน้าบริหารโครงสร้างการผลิต ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วนให้มีความยืดหยุ่นและเหมาะสม ได้แก่ ส่วนที่บริษัทฯ ผลิตเอง กับส่วนที่จ้างผลิต (Outsource) โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ ส่วนที่บริษัทฯ ผลิตเอง ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมาร์จินสูง  ทั้งสินค้าในกลุ่มไฮแฟชั่น และสินค้ารับจ้างผลิต (OEM) จากลูกค้าในยุโรปและสหราชอาณาจักร มีมาร์จินเพิ่มขึ้นจาก 44.9% เป็น 51.5% ขณะที่ส่วนจ้างผลิตจากภายนอก มาร์จินเพิ่มขึ้นจาก 53.5% เป็น 53.8% โดยปัจจุบันสัดส่วนระหว่างสินค้าที่ผลิตเองและสินค้าจ้างผลิตจากภายนอก อยู่ที่ 36% และ 64% ตามลำดับ ซึ่งโครงสร้างดังกล่าวสามารถตอบโจทย์เป้าหมายการรักษาอัตรามาร์จินของบริษัทฯ ไว้ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA กล่าวด้วยว่า นอกจากแผนการปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว SABINA ยังวางแผนเพิ่มรายได้ด้วยการขยายตลาดในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ผ่านช่องทางจำหน่ายทั้ง 3 ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางค้าปลีก (Retail) ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเปิดให้บริการซาบีน่าช็อปในลักษณะที่เป็นร้านเดี่ยวหรือ Stand Alone Shop ในจุดขายที่ดี อีกประมาณ 10-15 ร้านค้า เพื่อต่อยอดสร้างแบรนด์ “ซาบีน่า” ให้แข็งแกร่ง โดยเป็นการขยายหน้าร้านในรูปแบบการเป็นเจ้าของ (Own Store) ซึ่งจะทำให้ในปีนี้ SABINA จะมีหน้าร้านเพิ่มเป็น 520-525 หน้าร้าน

“การขยายหน้าร้านในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว เพราะเราเชื่อว่า เราจะสามารถหาทำเลที่เป็นจุดขายที่ดีได้ดีกว่าช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจเติบโต รวมถึงสามารถเจรจาต่อรองค่าเช่าได้ในราคาที่สมเหตุสมผล ขณะเดียวกัน การขยายหน้าร้านในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ก็เพื่อรองรับการกลับมาของยอดขายในปีหน้าซึ่งเราเชื่อว่าน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น ส่วนช่องทางขายอีก 2 ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางไม่มีหน้าร้าน (Non-Store Retailing หรือ NSR) สินค้าของเรายังคงเป็นสินค้าที่มียอดขายสูงสุดในมาร์เก็ตเพลส รวมถึงแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ชั้นนำ ซึ่งเรายังมีเป้าหมายที่จะรักษาความเป็นเบอร์หนึ่งต่อไป ด้วยคุณภาพของสินค้า ความหลากหลายของสินค้าที่ครอบคลุมทุกความต้องการ บริการ และการจัดส่ง ขณะที่ช่องทางรับจ้างผลิต (OEM) ถึงจนขณะนี้ สามารถบอกได้ว่า พ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และคำสั่งซื้อจากลูกค้าทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง” นางสาวดวงดาวกล่าว

สำหรับความคืบหน้าในการลงทุนในฟิลิปปินส์ผ่าน “โมดา” ประเทศฟิลิปปินส์ ที่ SABINA ถือหุ้นในสัดส่วน 77.3%  จนถึงขณะนี้ เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ผ่านการวางรากฐานไปแล้ว หลังจากนี้จะเข้าสู่โหมดสร้างการรับรู้เพิ่มขึ้น โดยเป้าหมายเพิ่มหน้าร้านจาก 52 สโตร์ในปัจจุบันเป็น 70 สโตร์ในปีนี้ ยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้

- Advertisement -