บล.กรุงศรีฯ:
เก่งหลังเกมส์
SET Index พุ่งแรง 37 จุด (+3.5%) ปิดที่ระดับ 1,100 จุด มูลค่าการซื้อขาย 5.27 หมื่นล้านบาท (จำนวนหุ้นปรับขึ้น 437 บริษัท, หุ้นปรับลง 95 บริษัท) รับข่าวอิสราเอลกับอิหร่านบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ผสานกับแรงซื้อ Cover short หนุนหุ้นพุ่งแรง มี Sector ปรับขึ้นหนุนดัชนี คือ อิเล็กฯ (DELTA), โรงไฟฟ้า (GULF, BGRIM), ปิโตรฯ & โรงกลั่น (PTTGC, TOP, SCC) และค้าปลีก (CPAXT, CPALL, CRC) ท่องเที่ยวและสายการบิน (AOT, AAV, CENTEL, MINT) ส่วน Sector ปรับลงมีแค่กลุ่มเดียว คือ Property fund & REIT (BOFFICE, CPNREIT, DIF)
หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ
- GULF (+7.05%), BGRIM (+11.23%), GPSC (+9.09%) Outperform เมื่อเทียบกับกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP เนื่องจาก BGRIM, GPSC, และ GULF เป็นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีรายได้หลักจากโรงไฟฟ้าประเภท SPP จึงได้ประโยชน์โดยตรงจากการลดลงของราคาพลังงานทั้งราคาน้ำมันและ LNG Gas โดย BGRIM ได้ประโยชน์มากสุดตามด้วย GPSC และ GULF ตามลำดับ
- PTTGC (+7.57%), SCC (+6.75%), IRPC (+4.23%) ราคาหุ้นพุ่งสวนรายงานตัวเลข HDPE-Spread ที่ออกมาแย่ (-15%w-w) เนื่องจากตลาดประเมินว่าราคาน้ำมันที่ลดลงหลังอิสราเอลกับอิหร่านยุติสงครามจะหนุนให้ HDPE-Spread กลับมาพุ่งขึ้นได้ในอนาคต
- AAV (+12.5%), BA (+7.27%), AOT (+5.17%), CENTEL (+7.31%), ERW (+8.74%) สงครามยุติเป็นบวกกับหุ้นท่องเที่ยว, น้ำมันลดเป็นบวกกับสายการบิน ผสานจิตวิทยาบวกจากข่าวภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เป็นบวกกับผู้ประกอบการโรงแรมที่รายได้อิงในประเทศ อาทิ AWC (100%), ERW (88%), CENTEL (72%)
- MTC (+7.97%), SAWAD (+10.74%), TIDLOR (+6.62%) ดักเก็งกำไรก่อน BoT Meeting พรุ่งนี้ แม้ Consensus คาด กนง.จะคงดอกเบี้ยที่ 1.75% แต่ยังมีลุ้นอิง Thai bond yield 1 ปี และ 5 ปี ปรับลงแตะระดับ 1.493% และ 1.46% ชี้นำทิศทางดอกเบี้ยลดลงอีก 1 ครั้งไปแล้ว
- CPALL (+4.05%), CPAXT (+7.88%), GLOBAL (+7.87%), CRC (+6.75%) มี Technical rebound ฟื้นตามตลาด ผสานมีจิตวิทยาบวกภาครัฐเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, เร่งปราบแก๊งคอลเซนเตอร์ และดักเก็งนโยบายรัฐในอนาคตคาดเน้นนโยบายลดค่าใช้จ่าย (เซฟเงินในมือ) หนุนประชาชนใช้จ่ายมากขึ้นเป็นบวกกับค้าปลีก
- AMATA (+5.47%), WHA (+6.90%), ROJNA (+4.35%) ทีมไทยแลนด์เดินหน้าเจรจาการค้ากับสหรัฐต่อเนื่องก่อนเส้นตาย 8 ก.ค. 2025 หากไม่ทันเสนอขยายเวลาอีก 90 วัน นับเป็นจิตวิทยาบวกกับกลุ่มนิคมฯ
- KTC (-15.25%), XPG (-16.67%), BEC (-15.48%), TPS (-14.39%) ปัจจัยลบเดิม คาดเกิดจากการบังคับขาย (force sell) จากสภาพตลาดที่ร่วงลงต่อเนื่อง หุ้นทั้ง 4 หลักทรัพย์มีอัตราการวางมาร์จิ้นค่อนข้างสูง โดย XPG มีหุ้นวางมาร์จิ้นคิดเป็น 20% ของหุ้นทั้งหมด ตามด้วย KTC และ BEC 16% และ 16% ตามลำดับ