บล.กสิกรไทย:

จับตาการอนุมัติ โครงการขนาดใหญ่ที่รออยู่ 1) รถไฟสายสีแดง  (ศาลายา-ศิริราช) อนุมัติแล้ว 2) EEC มีแผนที่จะเลื่อน NTP ออกไป 1 เดือน และโครงการรถไฟสายสีแดง

  • จากเว็บไซต์ รัฐบาลไทย รายงานว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการส่วนต่อขยายรถไฟสายสีแดง ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา และตลิ่งชัน-ศิริราช มูลค่าโครงการรวม 1.47 หมื่นลบ. โดยคาดว่าจะเปิดประมูลได้ภายในปี 2568 โครงการรถไฟสายสีแดงของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) สายปัจจุบันที่ดำเนินการอยู่ก่อสร้างโดย STECON (“ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 9.86 บาท) ITD (ไม่ได้วิเคราะห์) และ UNIQ (ไม่ได้วิเคราะห์) ส่วนโครงการส่วนต่อขยายรถไฟสายสีแดงส่วนต่อขยายที่อยู่ในแผน ได้แก่ 1) รังสิต-ธรรมศาสตร์ มูลค่าโครงการก่อสร้าง 4.10 พันลบ. ซึ่ง ครม.อนุมัติแล้วในไตรมาส 1/2568 และคาดว่าจะเปิดประมูลได้ในไตรมาส 3/2568 และ 2) บางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก (The Missing Link) มูลค่าโครงการก่อสร้าง 4.30 หมื่นลบ. ซึ่งอยู่ระหว่างการรอการอนุมัติจาก ครม
  • โครงการสนามบินอู่ตะเภาและรถไฟความเร็วสูง จากสำนักข่าวผู้จัดการออนไลน์ ในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดเผยว่ารัฐบาลเตรียมเลื่อนประกาศหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (NTP) ออกไป 1 เดือน จากกำหนดเดิมในวันนี้ (18 มิ.ย.) ซึ่งครอบคลุมทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงและสนามบินอู่ตะเภา โครงการแรกคือโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่าโครงการรวม 2.25 แสนลบ. ซึ่งอยู่ระหว่างการแก้ไขสัญญา เจ้าของโครงการคือ Asia Erawan (CP Group 85%, ITD 10% และ BEM 5%) โดยมี ITD (จดทะเบียนในตลท. แต่เราไม่ได้วิเคราะห์) เป็นผู้รับเหมาหลัก โครงการที่สองคือโครงการสนามบินอู่ตะเภา มูลค่า 2.19 แสนลบ. เจ้าของโครงการคือกลุ่ม UTA (BA 40%, BTS 40% และ STECON 20%) โดยมี STECON เป็นผู้รับเหมาหลัก
  • ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ คณะกรรมการค่าจ้างของกระทรวงแรงงานได้มีมติปรับค่าแรงขั้นต่ำรายวันในกรุงเทพฯ ขึ้น 8% จาก 372 บาท เป็น 400 บาท โดยในอดีต การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่มีผลกระทบที่ชัดเจนต่อปัจจัยพื้นฐานหรือประสิทธิภาพของราคาหุ้น ผู้รับเหมาส่วนใหญ่ระบุว่าได้จ่ายค่าแรงเกินระดับขั้นต่ำแล้ว และได้นำปัจจัยที่อาจเพิ่มขึ้นมาพิจารณาในการเสนอราคา ซึ่งสอดคล้องกับการวิเคราะห์ของเรา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างการปรับค่าแรงขั้นต่ำตั้งแต่ปี 2555 กับอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของหุ้นกลุ่มก่อสร้างที่เราวิเคราะห์อยู่ (แผนภาพ 7) ในทำนองเดียวกัน ข้อมูลในอดีตตั้งแต่ปี 2555-67 (แผนภาพ 5-6) แสดงให้เห็นว่าราคาหุ้นในกลุ่มก่อสร้างมีแนวโน้มที่จะทรงตัวภายใน 5 วันทำการ และพลิกกลับเป็นบวกเล็กน้อยในช่วง 25 ถึง 75 วันทำการหลังจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
  • มุมมองของเรา เรามีมุมมองที่เป็นบวกบวกต่อความคืบหน้าของโครงการรถไฟสายสีแดง ในขณะที่เราเชื่อว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ อาจสร้างความรู้สึกเชิงลบเล็กน้อยในระยะสั้น ขณะที่มติ ครม.ล่าสุดนี้ช่วยเพิ่มโอกาสที่ผู้รับเหมาทั้ง CK และ STECON จะได้รับ backlog ใหม่ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโครงการส่วนต่อขยายรถไฟสายสีแดงมีขนาดค่อนข้างเล็ก เราเชื่อว่า NTP สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูง (มูลค่า 2.24 แสนลบ.) และโครงการสนามบินอู่ตะเภา (มูลค่า 2.18 แสนลบ.) จะเป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญสำหรับกลุ่มธุรกิจนี้ พัฒนาการดังกล่าวน่าจะช่วยปรับปรุงแนวโน้มและความน่าดึงดูดของกลุ่มผู้รับเหมางานก่อสร้างได้อย่างมีนัยสำคัญในส่วนของการปรับขึ้นค่าแรง ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นถึงผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อทั้งปัจจัยพื้นฐานและประสิทธิภาพของราคาหุ้น
  • มุมมองเชิงบวก เราคงมุมมองที่เป็นบวกต่อกลุ่มบริการก่อสร้าง เรามีมุมมองเชิงบวกต่อความคืบหน้าของโครงการภาครัฐ โดยโครงการก่อสร้างหลายโครงการที่คาดว่าจะเปิดประมูลในช่วงไตรมาส 3-4/2568 เช่น โครงการรถไฟฟ้าสีแดง 2 สาย (มูลค่าโครงการ 1.9 หมื่นลบ.) โครงการรถไฟรางคู่ 2 เส้นทาง (1.0 แสนลบ.) และโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เฟส 2 (3.41 แสนลบ.) นอกจากนี้ ปริมาณ backlog ที่สูงของผู้รับเหมาก่อสร้างจะสนับสนุนให้กำไรปกติเติบโตทั้ง YoY และ QoQ ในไตรมาสที่เหลือของปี 2568
  • Downside risk ได้แก่ ความล่าช้าในการเสนอราคาโครงการภาครัฐ การชะลอตัวของการลงทุนภาคเอกชน การขึ้นค่าแรงที่เร็วกว่าคาด และความไม่มั่นคงทางการเมือง
  • หุ้นเด่น
    • CK “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 21.10 บาท
    • SEAFCO “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 3.43 บาท

- Advertisement -