บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย):

Thailand Banks กำไรไตรมาส 2/68 มีแนวโน้มลดลง QoQ

คงมุมมองเท่าตลาด เลือก KBANK และ KKP เป็นหุ้นเด่น

เราคงมุมมองเท่าตลาดต่อกลุ่มธนาคาร แม้ว่าหุ้นกลุ่มธนาคารจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดถึง 18% YTD แต่ยังมองว่ามีอัพไซด์จำกัด เนื่องจากกำไรของกลุ่มอาจได้รับผลกระทบจาก NIM ที่ลดลงหลังการลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงไตรมาส 4/67 ถึงไตรมาส 2/68 อย่างไรก็ตาม ดาวน์ไซด์ก็มีจำกัดเช่นกัน ด้วยผลตอบแทนจากเงินปันผลที่อยู่ในระดับดี เราชอบ KBANK ในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ และ KKP ในกลุ่มธนาคารขนาดกลาง-เล็ก โดยคาดว่าจะมีปัจจัยบวกในระยะสั้นจากโอกาสในการซื้อหุ้นคืนหลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/68 ทั้งสองธนาคารยังคาดว่าจะให้เงินปันผลปี 68 ที่ประมาณ 8%

กำไรไตรมาส 2/68 ของทั้งกลุ่มคาดลดลง QoQ จาก NIM ที่ลดลง ส่วน KKP คาดกำไรโตทั้ง YoY และ QoQ

เราคาดว่ากำไรของกลุ่มธนาคารในไตรมาส 2/68 จะอยู่ที่ 5.3 หมื่นล้านบาท ลดลง 9% QoQ จาก NIM และกำไรจากการลงทุนที่ลดลง แม้จะทรงตัว YoY เนื่องจาก NIM ที่ลดลงชดเชยกับต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (credit cost) ที่ลดลง เราคาดว่า KKP และ SCB จะเป็นเพียง 2 ธนาคารที่มีกำไรเติบโต YoY อย่างชัดเจน (จาก credit cost ที่ลดลงของ KKP และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลงของ SCB) ขณะที่ธนาคารที่เหลือคาดว่าจะมีกำไรลดลงทั้ง YoY และ QoQ ส่วน PPoP ของทั้งกลุ่มคาดว่าจะลดลงเล็กน้อย YoY จาก NIM ที่ลดลงและการเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัว

คาด credit cost ลดลงในไตรมาส 2/68 ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ยังท้าทายในครึ่งปีหลัง

เราคาดว่าสินเชื่อของทั้งกลุ่มจะเติบโต 0.5% YoY นำโดยสินเชื่อภาครัฐและภาคธุรกิจ ขณะที่ธนาคารยังคงระมัดระวังและเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อ SME และสินเชื่อรายย่อยที่มีความเสี่ยงสูง ในแง่ของคุณภาพสินทรัพย์ เราคาดว่าการตั้งสำรองจะลดลง 17% YoY และ 4% QoQ นำโดย KKP และ BBL อัตราส่วน NPL คาดว่าจะทรงตัว QoQ ที่ระดับ 3.69% ได้แรงหนุนจากโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ทั้งนี้เราคาดว่าธนาคารจะยังคงตั้งสำรองในระดับสูงและคง coverage ratio ไว้สูงต่อไป เนื่องจากการฟื้นตัวของรายได้ยังช้า และเศรษฐกิจยังเผชิญกับความท้าทายและแนวโน้มชะลอตัวในครึ่งหลังของปี

มุมมองบวกต่อการฟื้นฟูกิจการของ THAI ที่เสร็จสิ้น

เรามองว่าการฟื้นฟูกิจการของการบินไทย (THAI, ยังไม่กลับเข้าตลาด) ที่เสร็จสิ้นในเดือนมิถุนายน 68 จะส่งผลบวกบางส่วนต่อกลุ่มธนาคาร โดยธนาคารสามารถปรับสถานะ NPL เป็นสินเชื่อ Stage 2 และกลับรายการสำรองบางส่วนได้ ณ สิ้นไตรมาส 1/68 THAI มีหนี้เงินกู้จากธนาคาร 4.5 พันล้านบาท และจากบุคคล/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 6.6 พันล้านบาท โดย KTB มี exposure ต่อ THAI อยู่ที่ 2.9 พันล้านบาท ส่วน BBL ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูล แต่เราคาดว่าส่วนใหญ่ของเงินกู้ 4.5 พันล้านบาทน่าจะอยู่กับ BBL ทั้งนี้ NPL ของทั้ง BBL และ KTB ลดลงในไตรมาส 4/67 เนื่องจากมีการแปลงหนี้เป็นทุน (KTB: 3.4 พันล้านบาท, BBL: 6.1 พันล้านบาท) ปัจจุบัน BBL, KTB และ TTB เป็น 3 ใน 5 ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ THAI

 

 

- Advertisement -