แรงงานสหรัฐฯ ดีกว่าคาดการณ์แต่ตลาดดูไม่กังวล

Market Update

ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 344 จุด (+0.77%) ขณะที่ Nasdaq และ S&P500 ปิดระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นักลงทุนขานรับกับตัวเลขแรงงานที่แข็งแกร่ง ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.45% นักลงทุนกังวลว่ามาตรการภาษีจะกดดันอุปสงค์

Market Outlook

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯ รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ 1.47 แสนราย มากกว่า Bloomberg Consensus คาดหมายไว้ที่ 1.1 แสนราย พร้อมกับอัตราการว่างงานที่ 4.1% ลดลงมากกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดหมายไว้ที่ 4.3% ภาพรวมบ่งชี้ถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่ถึงกับชะลอตัวมากนัก ซึ่งเมื่อคืนหลังจากทราบตัวเลขข้างต้นพบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกับ Dollar Index กลับขึ้นมาแข็งค่า แต่ถึงอย่างนั้นนักลงทุนกลับมองบวกกับตลาดหุ้นผ่านเศรษฐกิจที่ยังค่อนข้างไปได้ และไม่กังวลมากนักเกี่ยวกับแรงกดดันด้านดอกเบี้ย โดย CME FED Watch เชื่อว่าจะลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนด้วยน้ำหนัก 63.8%

ทั้งนี้ คืนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปิดทำการเนื่องในวัน Independence Day คืนนี้ฝั่งสหรัฐฯ จึงไม่มีปัจจัยต้องติดตาม (ตลาดแรงงานจึงเลื่อนประกาศมาเป็นเมื่อคืนตามเวลาประเทศไทย) แต่อย่างไรก็ตาม สัปดาห์หน้าจะมีปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ครบกำหนด 90 วันภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ กับนานาประเทศ ส่วนประเทศไทยนั้นตามกำหนดการได้พูดคุยกับสหรัฐฯ ไปแล้วเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่อย่างไรยังไม่มีรายงานความคืบหน้าออกมา แต่ก็เชื่อว่าภายในเร็วๆ นี้จะมีการรายงานออกมา

ทั้งนี้ มีความกังวลว่าภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ คิดกับไทยไม่น่าจะต่ำกว่า 20% ยกเว้นแต่ว่าไทยจะมีข้อเสนอที่ค่อนข้างดีกว่าเวียดนามให้กับสหรัฐฯ แต่เบื้องต้นนั้นก่อนหน้านี้รัฐมนตรีคลังระบุเพียงเพิ่มการนำเข้าแก๊สและเนื้อสัตว์รวมไปถึงสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ซึ่งข้อเสนอข้างต้นถือว่าต่ำกว่าที่เวียดนามให้กับสหรัฐฯ (เวียดนามเสนอภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 0% แลกกับสหรัฐฯ คิดภาษีนำเข้าจากเวียดนามที่ 20%) หากท้ายที่สุดแล้วประกาศว่าภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยอยู่ในระดับมากกว่า 20% จะเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยผ่านการส่งออก ผสานกับการย้ายฐานผลิตมาไทยอาจมีความน่าสนใจน้อยลง จึงจำเป็นต้องติดตามประเด็นนี้ใกล้ชิด

วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1120 – 1135 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน นักลงทุนระยะสั้นอาจเลือกทำกำไรหลังตลาดหมดปัจจัยหนุนระยะสั้น และสัปดาห์หน้ามีความเสี่ยงกับการค้าหากทรัมป์ประกาศไม่เพิ่มระยะเวลา จะเป็นความเสี่ยงกับเศรษฐกิจโลก แต่อย่างไรก็ตาม หากตลาดปรับฐานลงมา ยังมองเป็นโอกาสสะสมหุ้นสำหรับนักลงทุนระยะกลาง ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ระยะสั้นอาจเลือก Trading ในหุ้นที่ไม่มีผลกระทบจากสงครามการค้า อาทิ BDMS, MINT โดยรอสะสมหุ้นพื้นฐานดีประกอบไปด้วย CPN, CPALL, HMPRO, KBANK, BBL, SAWAD

หุ้นแนะนำซื้อวันนี้

BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท)

คาดการณ์รายได้ปี 2025 ที่เติบโตในอัตราลดลง (-2%) โดยใน 1Q25 ประกาศกำไรสุทธิที่ 4.3 พันล้านบาท (-7% YoY) ทรงตัวจากไตรมาสก่อน หนุนจาก 1) รายได้รับรู้จากโรงพยาบาลและเตียงผู้ป่วยใหม่ และ 2) การเติบโตของผู้ป่วยต่างชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มตะวันออกกลาง (+22% YoY) และ CLMV (+11% YoY) ขณะที่ใน 2Q25 เรามองว่าผลประกอบการจะเติบโต YoY แม้อ่อนตัว QoQ จาก 1) ปัจจัยฤดูกาล และ 2) จำนวนผู้ป่วยต่างชาติชะลอตัวในเดือนเมษายน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบระยะสั้นจากเหตุแผ่นดินไหว
ทั้งนี้ เราคาดสามารถชดเชยจากการฟื้นตัวในเดือนพฤษภาคม (+6% YoY)

MINT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท)

2Q25 กำไรปกติจะเติบโตสูง QoQ และมีโอกาสเติบโต YoY หนุนจาก 1) แนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรม ด้วยยอดการจองล่วงหน้าตั้งแต่เดือนเมษายนอยู่ในระดับที่ดี โดยเฉพาะในโซนยุโรปที่กำลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หนุน RevPar ปรับตัวสูงขึ้น 2) โรงแรมในประเทศไทยได้รับอานิสงส์จากช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้อัตราการเข้าพัก (Occupancy) และ RevPar อยู่ในเกณฑ์ที่ดี และ 3) คาดรายได้ธุรกิจร้านอาหารจะฟื้นกลับมาทรงตัว YoY ด้วยยอดขายไอศกรีมมะม่วง เมนูฤดูกาลยอดนิยม ที่เริ่มเปิดการขายจาก 1Q25 มาใน 2Q25 เนื่องจากสภาพอากาศต้นปีที่หนาวยาวนานกว่าปีก่อน

 

 

- Advertisement -