Daily Focus: เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็ง จับตาผลกระทบ Tariffs ต่อเงินเฟ้อ

2025 SET Target: 1180

ตลาดหุ้นวานนี้: SET Index แกว่งตัว Sideways ในกรอบแคบตามคาด โดยดัชนีปิดลบเล็กน้อย 5.25 จุด ที่ระดับ 1,110.40 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง 2.7 หมื่นลบ. เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่และยังรอติดตามพัฒนาการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ สถาบันในประเทศยังคงขายสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องอีก 432 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติมีสถานะทรงตัว (เช่นเดียวกับสถานะสุทธิใน Index Futures ที่ทรงตัวไม่มีนัยยะ)

แนวโน้มตลาดวันนี้: เราคาดว่า SET Index แกว่ง Sideways to Sideways Up ในกรอบ 1,105-1,120 จุด ได้ Sentiment บวกจากตลาดต่างประเทศหนุน หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำ New High ขณะที่รายงานการประชุม FED คืนวันพุธโทนผ่อนคลายต่อโอกาสลดดอกเบี้ยปีนี้ ส่วนตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์สหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาดที่ 2.27 แสนราย ภาพรวมเม็ดเงินจึงไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามต่อในวันนี้ซึ่งทรัมป์ระบุว่าจะส่งจดหมายแจ้งยุโรปซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าหลัก รวมถึงแคนาดาซึ่งล่าสุดประกาศว่าจะถูกเก็บ 35% นอกจากนี้ยังต้องติดตามสำหรับไทยว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าเพื่อเลี่ยงการถูกเก็บภาษี 36% ได้ทันเส้นตาย 1 ส.ค. หรือไม่ ซึ่งคาดยังเป็นปัจจัย Overhang ดัชนีในช่วงนี้จนกว่าจะมีพัฒนาการเชิงบวกเพิ่มเติม กรณีแย่ที่สุดหากไทยไม่สามารถปรับลดอัตราภาษีลงได้ จะส่งผลให้ประมาณการ GDP ไทยปีนี้อาจโตต่ำเพียง 1% หรือต่ำกว่า ขณะที่ EPS ของ SET มีแนวโน้มถูกปรับลงจาก 89.5 บาทในปัจจุบันเหลือ 80-84 บาท

ด้านปัจจัยในประเทศ การพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรมยังไม่มีการลงมติ โดยจะมีการประชุมต่อสัปดาห์หน้า ด้านกลยุทธ์เราแนะนำเก็งกำไรกลุ่มส่งออกช่วงปรับลงแรงบนสมมติฐานว่าในท้ายที่สุดไทยจะสามารถเจรจากับสหรัฐฯ และปรับลดอัตราภาษีลงได้ ขณะที่กลุ่ม Domestic และ Defensive Play คาดว่าจะเคลื่อนไหวได้แข็งแรงกว่าตลาด โดยเฉพาะหุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 2Q25-2H25 แข็งแกร่ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วงเริ่มทยอย Preview ผลประกอบการ

กลยุทธ์: เลือกลงทุนในหุ้นที่คาดกำไร 2Q25 แข็งแกร่งและมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว

หุ้นเด่นเดือน ก.ค.: ITC, KCE, NEO, OSP, SCGP

FSSIA Portfolio: BA, CENTEL, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, PR9, STECON

หุ้นเด่น Finansia 11 ก.ค. 25 : SCC

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 200 บาท
  • เราคาดกำไรปกติฟื้นแรง +151% q-q (แต่ -19% y-y) จากการฟื้นตัวของ Spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีตั้งแต่ 8-13% q-q ธุรกิจซีเมนต์ได้อานิสงส์จากการทยอยปรับขึ้นราคาขาย 400 บาท/ตัน และการฟื้นต่อเนื่องของ SCGP และหาก Chemical spread ยังมีเสถียรภาพเท่ากับในปัจจุบัน 
  • ผู้บริหารอาจพิจารณาเปิดดำเนินการโรงงาน LSP ในเวียดนามอีกครั้งในเดือน ส.ค. นอกจากนี้ 2Q25 จะมีกำไรทางบัญชีจำนวนมากจากการประเมินมูลค่ายุติธรรมของ CAP ขณะที่การเตรียมขายหุ้น CAP 10.6% จะมีกำไรที่เป็นเงินสด และนำไปลดหนี้ แม้ว่าธุรกิจปิโตรเคมียังอยู่ใน down cycle ถึงปลายปีหน้าแต่เราเชื่อว่ากำไรปกติจะทยอยฟื้นต่อใน 2H25 
  • แนวรับ 167-166.50//164 บาท แนวต้าน 174//177 บาท

Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าภูมิภาคสุทธิหนาแน่นขึ้น US$791 ล้าน หลังจากทรงตัววันก่อนหน้า นำโดยเกาหลีใต้และไต้หวัน US$454 ล้าน และ US$371 ล้าน ตามลำดับ ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินไหลออกที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ประเทศละ US$10-24 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ายังค่อนไปในทิศทางไหลเข้าตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ทำ New High ขณะที่ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ออกมาต่ำกว่าคาด

ประเด็นสำคัญวันนี้

(-) กลุ่มอสังหาฯ ยอด Presales 2Q25 คาดลดลง 23% q-q และ 28% y-y เหลือ 5 หมื่นลบ. ต่ำที่สุดในรอบ 18 ไตรมาส กดดันจากยอดขายคอนโดที่หดตัวแรง ส่วนยอดขายแนวราบทรงตัว ประเมินกำไร 2Q25 กลุ่มอสังหาฯ ลดลง y-y ตามยอดขาย แต่ฟื้นตัว q-q จากฐานต่ำใน 1Q25 ขณะที่การทำโปรโมชั่นราคาที่เพิ่มขึ้นจะกดดันอัตรากำไรขั้นต้น คงน้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาด เนื่องจากยังเผชิญท้าทายหลายปัจจัยและหุ้นยังขาดประเด็นบวก หุ้นเด่นเรามองว่า AP ยังเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งในช่วง 2H25 โดยมีปัจจัยหนุนจากทิศทางกำไรที่คาดโต h-h จากการโอนคอนโดใหม่และยอดขายแนวราบยืนระดับดี

(0) CPF คาดกำไรสุทธิ 2Q25 พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 1.1 หมื่นลบ. +30% q-q, +61% y-y จากราคาเนื้อหมูทั้งไทยและเวียดนามที่ปรับเพิ่มขึ้น และต้นทุนวัตถุดิบปรับลง และได้ส่วนแบ่งกำไรจาก CPP เพิ่มขึ้น ด้วยต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับลงส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น 2Q25 ปรับขึ้น อย่างไรก็ตามจากราคาเนื้อสัตว์ปัจจุบันที่เริ่มอ่อนลง แต่ยังเป็นราคาที่สูงกว่าปีก่อน คาดกำไร 3Q25 จะลดลง q-q แต่น่าจะยังโต y-y เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2025 เป็น 3.4 หมื่นลบ. +75% y-y เราคิดว่ากำไร 2Q25 น่าจะพีคสุดของปีนี้ และคาดกำไร 2H25 จะชะลอลง ราคาหุ้นที่ปรับลงทำให้ valuation ถูกด้วย 2026E PE 8.6x แต่ขาด catalysts หลังราคาเนื้อสัตว์ปรับลง และต้องติดตามการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับ US กรณีนำเข้าหมู เราคาดกำไรสุทธิปี 2026 ที่ 2.1 หมื่นลบ. และปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2026 ที่ 30 บาท และปรับคำแนะนำเป็น “ถือ” หรือ “เก็งกำไร”

(+) KCG คาดรายได้ 2Q25 ชะลอตัวจาก low season แต่เพิ่มขึ้น 4% y-y จากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น หนุนจากการออกสินค้าใหม่และความต้องการที่ยังเติบโต y-y ต่อเนื่อง แนวโน้มรายได้ 3Q25 น่าจะเติบโตได้ high single digits จากความต้องการเนยชีสที่เพิ่มขึ้นก่อนเข้า Festive season Q4 ของทุกปี กำไร 1H25 คิดเป็น 49% ของประมาณการทั้งปี คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 เติบโต 10% y-y ราคาเป้าหมาย 11 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(+) ตลาดดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 192.34 จุด หรือ +0.43%, ปิดที่ 44,650.64 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยตลาดได้แรงหนุนจากข้อมูลแรงงานที่สดใส รวมทั้งผลประกอบการที่ดีเกินคาดของเดลตา แอร์ไลน์ส (Delta Air Lines) และความแข็งแกร่งของหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) นอกจากนี้ นักลงทุนยังมองข้ามข่าวการเรียกเก็บภาษีศุลกากรครั้งล่าสุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

(+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มเฮลท์แคร์ ขณะที่นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป (EU)

(0) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกสลับลบ หลังโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรกับแคนาดาถึง 35% เริ่มต้น 1 ส.ค.

(+) ค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่บริเวณ 32.58 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ -0.33%

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 1.81 ดอลลาร์ หรือ 2.65% ปิดที่ 66.57 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่นักลงทุนกำลังประเมินความเป็นไปได้ที่มาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 66.81 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.36%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 4.70 ดอลลาร์ หรือ 0.14% ปิดที่ 3,325.70 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ได้สกัดแรงซื้อในตลาด ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 3,334.30 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 0.26%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 946.51 / +0.24%

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

11 ก.ค.จีน: ยอดขายรถยนต์ (มิ.ย.)
12 ก.ค.จีน: ส่งออก (มิ.ย.)
14 ก.ค.จีน: New Yuan Loans (มิ.ย.)
15 ก.ค.จีน: 2Q25 GDP growth, ยอดค้าปลีก (มิ.ย.)

สหรัฐ: Core CPI (มิ.ย.)

อังกฤษ: เงินเฟ้อ (มิ.ย.)

16 ก.ค.สหรัฐ: Core PPI (มิ.ย.)

 

- Advertisement -