Daily Focus: Sideways รอดูผลการเจรจาการค้า
ตลาดหุ้นวานนี้:
SET Index ชะลอความร้อนแรงลงตามคาด หลังจากปรับตัวขึ้นแกร่ง 2 วันก่อนหน้า โดยดัชนีปิดลบเล็กน้อย 3.38 จุด ที่ระดับ 1,157.63 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.3 หมื่นลบ. สถาบันในประเทศพลิกมาขายสุทธิในตลาดหุ้นบางๆ 140 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิ 476 ลบ. (แต่เริ่มพลิกมา Short สุทธิใน Index Futures 1.4 หมื่นสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้:
เราคาดว่า SET Index จะแกว่งตัว Sideways สร้างฐานระยะสั้นในกรอบ 1,145–1,167 จุด โดยปัจจัยสำคัญที่ตลาดยังจับตาคือพัฒนาการเจรจาการค้า ล่าสุดมีรายงานว่าไทยมีการประชุม Video Conference กับสหรัฐฯ เพื่อยื่นข้อเสนอภาษี 0% สินค้าหลายหมื่นรายการเพื่อแลกกับการลดภาษีสินค้าจากไทย แต่ยังไม่มีข้อสรุป ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศเมื่อคืนที่ผ่านมาอยู่ที่ประเด็นทรัมป์ที่ต้องการปลดพาวเวลออกจากตำแหน่ง แต่ท้ายที่สุดทรัมป์ได้มีการออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อ PPI เดือน มิ.ย. สหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด โดยทรงตัว m-m จากที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% ส่งผลให้ Bond Yield สหรัฐฯ และ Dollar Index เริ่มชะลอตัวลงจากที่ปรับตัวขึ้นช่วงก่อนหน้า หนุนสินทรัพย์เสี่ยงฟื้นตัวอ่อนๆ เราประเมินว่า Upside ของดัชนีอยู่ที่ผลการเจรจาการค้าว่าจะปรับลดอัตราภาษีลงจาก 36% และใกล้เคียงคู่แข่งที่ราว 20% ได้หรือไม่ หากเจรจาสำเร็จยังมองว่า SET Index มีโอกาสทยอยไต่ระดับเข้าเป้าดัชนีที่ 1,180 จุด หรือแนวจิตวิทยาที่ 1,200+– จุดได้ หุ้นกลุ่มส่งออกมีโอกาสกลับมา Outperform รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ที่ยัง Laggard มีโอกาสเห็นกระแสเงินทุนไหลเข้า
กลยุทธ์: เลือกลงทุนในหุ้นที่คาดกำไร 2Q25 แข็งแกร่ง มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
หุ้นเด่นเดือน ก.ค.: ITC, KCE, NEO, OSP, SCGP
FSSIA Portfolio: BA, CENTEL, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, PR9, STECON
หุ้นเด่น Finansia 17 ก.ค. 25 : CPALL
– แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 65 บาท
– คาดกำไร 2Q25 ยังเติบโตแข็งแกร่งที่ 6.9 พันลบ. –4% q-q แต่ยัง +12% y-y โดยแม้รายได้จะเติบโตไม่ได้สุงมากนักที่ +1.4% q-q, +3.4% y-y แต่ยังคงได้แรงหนุนจาก Margin ที่ยังแข็งแกร่งจากสินค้าอาหารและเครื่องดื่มพร้อมทานที่เติบโตดี
– เรามองธุรกิจของ CPALL มีความยืดหยุ่นสูงท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็น และกระทบจำกัดจากความเสี่ยงภายนอกโดยเฉพาะภาษีการค้าสหรัฐฯ เราคาดกำไรปี 2025-27 +9.4% CAGR
– แนวรับ 45.75-45 บาท แนวต้าน 47//49 บาท
Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าภูมิภาคสุทธิต่อเนื่องแต่บางลงเหลือ US$414 ล้าน เม็ดเงินยังไหลเข้ากระจุกตัวที่ไต้หวัน US$510 ล้าน ส่วนเกาหลีใต้ทรงตัว ขณะที่ฝั่งอาเซียนกระแสเงินทุนไหลออกจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ประเทศละ US$61–67 ล้าน แต่ไหลเข้าไทย US$15 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าจะชะลอการไหลเข้า โดยตลาดขาดปัจจัยหนุนใหม่ที่ชัดเจน โฟกัสยังอยู่ที่พัฒนาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศต่างๆ
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0) CBG กำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 801 ลบ. +5% q-q, +16% y-y ต่ำกว่าที่เคยคาดเล็กน้อย เนื่องจากประเด็นการปิดด่านกัมพูชาเป็นเหตุให้ลูกค้าชะลอการสั่งซื้อและเลื่อนไปเป็น 3Q25 อย่างไรก็ตาม รายได้ในประเทศคาดเติบโตดี นำโดยเครื่องดื่มชูกำลังที่เติบโต +7% q-q, +26% y-y ปัจจุบันบริษัทได้เปลี่ยนการขนส่งสินค้าไปกัมพูชาทางเรือ และเร่งก่อสร้างโรงงานในกัมพูชาและคาดว่าจะสามารถเดินเครื่องเร็วขึ้น 1 เดือน เป็นเดือน ธ.ค. 2025 บริษัทยังคงตั้งเป้ารายได้ปี 2025 +20% y-y แนวโน้ม 2H25 จะยังเผชิญปัจจัยกดดันจากส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลง ล่าสุดเดือน พ.ค. อยู่ที่ 25.1% -0.6% m-m และปัญหาการขนส่งสินค้าไปกัมพูชา ทำให้เรามีความกังวลต่อแนวโน้มกำไร 2H25 มากขึ้น และน่าจะมี downside ต่อประมาณการกำไรปี 2025 ของเราที่คาดไว้ที่ 3.19 พันลบ. +13% y-y อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นที่ปรับลงกว่า 30% YTD สะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว เรายังคงราคาเป้าหมาย 74 บาท และแนะนำ “ซื้อ”
(0) TOA คาดกำไรปกติ 2Q25 ที่ 660 ลบ. -17% q-q, +11% y-y ยอดขายทรงตัว แต่เติบโต y-y จากต้นทุนวัตถุดิบลดลงตามราคาน้ำมัน แนวโน้ม 2H25 อ่อนลง h-h จากยอดขายที่ถูกกดดันจากความต้องการในภาคอสังหาฯ ซบเซาและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ คาด 3Q25 ชะลอลง q-q จากช่วงฤดูฝนก่อนฟื้นตัวใน 4Q25 คาดกำไรปกติปี 2025 +13% y-y จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น แต่ยังมีมุมมองระมัดระวังต่อยอดขายปีนี้ที่คาด -3% y-y เทียบกับเป้าของผู้บริหารที่ประคองตัวจากปี 2024 ประเมินราคาเป้าหมาย 13 บาท ราคาหุ้นมี Upside จำกัด แนะนำ “ถือ”
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 231.49 จุด หรือ +0.53%, ปิดที่ 44,254.78 จุด ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮอย่างต่อเนื่อง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ปฏิเสธข่าวการปลดเจอโรม พาวเวล ออกจากตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยคำยืนยันของ ปธน.ทรัมป์ ช่วยให้ตลาดพลิกกลับสู่แดนบวก หลังจากที่ร่วงลงในช่วงแรก
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลดลง โดยหุ้นกลุ่มชิปได้รับแรงกดดันอย่างหนัก หลังบริษัท ASML เตือนว่ารายได้จะเติบโตลดลง ขณะที่รายงานข่าวว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังพิจารณาการปลดเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้สร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนด้วยเช่นกัน
(-) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดลบ หลังญี่ปุ่นรายงานตัวเลขส่งออกต่ำกว่าตลาดคาดและติดลบเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน
(+) ค่าเงินบาท แข็งค่าอยู่ที่บริเวณ 32.43 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ -0.37%
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 14 เซนต์ หรือ 0.21% ปิดที่ 66.38 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยตลาดถูกกดดันจากสต็อกเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งความวิตกกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 66.70 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.48%
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 22.40 ดอลลาร์ หรือ 0.67% ปิดที่ 3,359.10 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์และข้อพิพาทด้านการค้า นอกจากนี้ ราคาทองคำยังพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงแรกหลังจากสื่อรายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะปลดเจอโรม พาวเวล ออกจากตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก่อนที่ราคาจะลดช่วงบวกหลังจาก ปธน.ทรัมป์ ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 3,351.50 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ -0.23%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 950.79 / +0.33%