Daily Focus: ยังแกว่งสร้างฐานระยะสั้นบริเวณ 1,200+- จุด

2025 SET Target: 1,180

ตลาดหุ้นวานนี้: SET Index ปรับตัวขึ้นในช่วงต้นชั่วโมง ก่อนจะย่อตัวลงและแกว่ง Sideways ออกข้างตามคาด โดยดัชนีปิดบวกบางๆ 1.55 จุด ที่ระดับ 1,208.13 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่บางลงเหลือ 4.3 หมื่นลบ. ยังมีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่อย่าง DELTA และกลุ่มธนาคารช่วยประคอง สถาบันในประเทศยังคงขายสุทธิในตลาดหุ้น 907 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 1.15 พันลบ. (แต่พลิกมา Short สุทธิใน Index Futures 7.2 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้: เราคาดว่า SET Index จะยังคงแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,200–1,218 จุด โดยภาพรวมตลาดยังไร้ปัจจัยใหม่ที่ชัดเจนเข้ามากระตุ้น นักลงทุนยังคงรอติดตามผลการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ หลังจากดัชนีปรับขึ้นแรงสัปดาห์ก่อนรับความคาดหวังเชิงบวกว่าจะสามารถปรับลดจาก 36% เหลือระดับ 18–20% ได้ก่อน Deadline วันที่ 1 ส.ค. นี้ ส่วนปัจจัยในประเทศวันนี้ติดตามการประชุม ครม. ไฟเขียวตั้งผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่หลังจากเลื่อนมาจากสัปดาห์ก่อน ซึ่งยังเป็น Sentiment หนุนให้ตลาดคาดหวังการปรับลดดอกเบี้ย 1–2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ นอกจากนี้คาดตลาดจะเริ่มจับตาที่การประกาศผลการดำเนินงาน 2Q25 มากขึ้นหลังกลุ่มธนาคารจะรายงานกำไรทั้งหมดแล้วดีกว่าคาด 7% เราเชื่อว่าคาดการณ์กำไรในไตรมาสนี้ของตลาดจะค่อนไปในทาง Conservative ตามภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งอาจทำให้โอกาสที่กำไรจะออกมาต่ำกว่าคาดมีน้อยลง อย่างไรก็ตาม โฟกัสสำคัญอยู่ที่แนวโน้มการเติบโตช่วง 2H25 จากผู้บริหารในการประชุมนักวิเคราะห์ว่าจะมองผลกระทบจากภาษีทรัมป์มากน้อยเพียงใด ซึ่งคาดว่ายังมีความไม่แน่นอนและยังมีความเสี่ยงที่ประมาณการ EPS ของ SET ปัจจุบันที่ 89 บาทยังมีโอกาสถูกปรับลง ในเชิงกลยุทธ์เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่ยัง Laggard ดัชนีในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง มีโอกาสที่จะ Outperform ระยะนี้

กลยุทธ์: เลือกลงทุนในหุ้นที่คาดกำไร 2Q25 แข็งแกร่ง มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว

หุ้นเด่นเดือน ก.ค.: ITC, KCE, NEO, OSP, SCGP

FSSIA Portfolio: BA, CENTEL, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, PR9, STECON

หุ้นเด่น Finansia 22 ก.ค. 25 : OSP

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 24 บาท
  • เบื้องต้นประเมินกำไรปกติ 2Q25 ลุ้นทรงตัว q-q ที่ระดับราว 970 ลบ. +5% y-y หนุนจากรายได้ที่ยังเติบโต ขณะที่ Margin ยังดีขึ้นจากปีก่อนจากต้นทุนวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ที่ลดลง 
  • ด้านส่วนแบ่งตลาดเชิงปริมาณล่าสุดเดือน มิ.ย. OSP ยังทรงตัว m-m ที่ 30.1% ได้ส่วนมูลค่าตลาดเครื่องดื่นชูกำลัง +3% y-y  ภาพรวมหากกำไร 2Q25 ตามคาดจะทำให้ 1H25 คิดเป็น 60-65% ของประมาณการทั้งปีที่ 3 พันลบ. สะท้อนว่าประมาณการอาจมี Upside 
  • แนวรับ 16-15.70 บาท แนวต้าน 17//17.40 บาท

Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าภูมิภาคสุทธิต่อเนื่องอีก US$799 ล้าน แต่เปลี่ยนมากระจุกที่เกาหลีใต้ US$633 ล้าน ส่วนไต้หวันไหลเข้าบางลง US$142 ล้าน ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินไหลเข้าสูงสุดที่ไทย US$36 ล้าน แต่ไหลออกจากอินโดนีเซีย แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ายังค่อนไปในทิศทางไหลเข้าแต่ชะลอตัวลง โดยภาพรวมเริ่มขาดปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน ตลาดยังรอติดตามพัฒนาการข่าวเจรจาการค้าและผลประกอบการ บจ. 2Q25

ประเด็นสำคัญวันนี้

(0) กลุ่มธนาคาร: 7 ธนาคารรายงานกำไรสุทธิรวม 2Q25 ที่ 56.3 พันลบ. +3.5% y-y แต่ -3.7% q-q ดีกว่าเราและตลาดคาด 6–7% โดยมีแรงหนุนจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่สูงกว่าคาด ทั้งจากกำไรจากการวัดมูลค่ายุติธรรม และกำไรจากการขายเงินลงทุน อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้นำรายได้ non-NII ส่วนใหญ่ไปตั้งสำรองเพิ่มเพื่อรองรับความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 สินเชื่อรวมของกลุ่ม -0.9% y-y และ -0.3% q-q ซึ่งต่ำกว่าที่เราคาดไว้เล็กน้อย NIM อยู่ที่ 3.23% ลดลง -9bps q-q ตามคาด Credit cost 2Q25 อยู่ที่ 150bps สูงกว่าที่เราคาด และ NPL ratio อยู่ที่ 3.73% ใน 2Q25 เทียบกับ 3.68% ใน 1Q25 แนวโน้มธนาคารยังเผชิญกับแรงกดดันจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่อาจส่งผลต่อ NIM และ credit cost ที่สูงขึ้นจากคุณภาพสินทรัพย์ อย่างไรก็ตามอัตราเงินปันผลของกลุ่มธนาคารที่ 7% ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาหุ้น เราคงน้ำหนักเป็น “Neutral” Top picks: KBANK และ KTB

(+) CBG: ส่วนแบ่งตลาดเชิงปริมาณเดือน มิ.ย. กลับมาบวกแรง +1.4% m-m เป็น 26.5% จาก 25.1% ในเดือน พ.ค. โดยปรับขึ้นทั้ง TT และ MT หลังทำโปรมากขึ้นในเดือน มิ.ย. และต่อเนื่องใน ก.ค. ส่วน OSP ทรงตัว m-m ที่ 30.1% และ KTD ปรับลง 0.7% m-m กลับมาอยู่ที่ 12.5% ทั้งนี้มูลค่าตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง 2Q25 เติบโตราว 3% y-y สรุปว่า CBG แย่งแชร์เดือน มิ.ย. กลับมาได้ โดยแย่งจาก KTD และกลุ่มโสม ส่วนกัมพูชา มีความคืบหน้าจากฝั่งไทย ที่ยอมให้เปิดด่านแล้ว แต่ยังกำหนดเวลาปิดเร็วขึ้น และกำหนดจำนวนรถขนส่งสินค้าให้เข้าออกได้ไม่เกิน 40 คัน/วัน อย่างไรก็ตาม ทางกัมพูชายังไม่รับข้อเสนอดังกล่าว ซึ่งยังต้องติดตาม ราคาเป้าหมาย 74 บาท แนะนำ “เก็งกำไร”

(0) GFPT: คาดกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 587 ลบ. -8% q-q, +1% y-y ดีกว่าที่เราเคยคาด แต่ยังคงคิดว่า 1Q25 น่าจะเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ หากไม่รวม FX loss จะมีกำไรสุทธิ 601 ลบ. -4% q-q, +7% y-y โดยปัจจัยที่ดีกว่าคาดมาจากราคาส่งออกไก่ที่เพิ่มขึ้น q-q อัตรากำไรขั้นต้นน่าจะดีกว่าคาดจากราคาที่ปรับขึ้นและต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับลง ปัจจุบันปริมาณส่งออกไก่ 3QTD ยังทรงตัว q-q ประกอบกับแนวโน้มราคาไก่ในประเทศ 3QTD ยังคงอยู่ที่ 40–41 บาท/กก. -7% y-y ทำให้คาดว่ากำไร 3Q25 น่าจะทรงตัวหรือปรับขึ้นเล็กน้อย แต่ 4Q25 จะชะลอตัวตามฤดูกาล จากระยะสั้นราคาไก่ดีกว่าราคาหมู เนื่องจากตลาดส่งออกที่ดีช่วยดูดอุปทาน ราคาเป้าหมาย 12 บาท แนะนำ “เก็งกำไร”

(+) PRM: เราคาดกำไรปกติ 2Q25 ฟื้นแรง +26% q-q แต่ -18% y-y เพราะเรือที่ซ่อมบำรุง และรับมาใหม่ใน 1Q25 เข้าทำงานเต็มไตรมาสในไตรมาสนี้ รวมถึงรับเรือ Crew boat 1 ลำในเดือน มิ.ย. อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นตามการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น แต่เงินบาทที่แข็งค่าเร็ว คาดว่าจะมีขาดทุน FX และทำให้กำไรสุทธิ -38% q-q เราคาดเงินปันผล 0.25 บาท/หุ้น สำหรับ 1H25 เราปรับลงกำไรปี 2025 ลง 11% จากเดิมที่ประเมินสูงไป คาดกำไรปกติทั้งปี +4% y-y และจะเร่งตัวในปีหน้า +9% y-y จากเรือที่ทำงานเต็มปีและซื้อเรือใหม่ 6 ลำที่ใหญ่กว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าทดแทนเรือเก่า ราคาเป้าหมายปรับลงเป็น 9.50 บาท ยังชอบและแนะนำ “ซื้อ” จากความมั่นคงของรายได้ที่เป็นสัญญายาวและ Dividend yield สูง 7–8% ต่อปี

(-) ตลาดดาวโจนส์: ลดลง 19.12 จุด หรือ -0.04%, ปิดที่ 44,323.07 จุด ส่วนดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นอัลฟาเบท (Alphabet) และหุ้นบริษัทเทคโนโลยีรายอื่น ๆ ก่อนที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และบรรดาประเทศคู่ค้า

(-) ตลาดหุ้นยุโรป: ปิดลดลง หลังจากที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ ที่ออกมาคละเคล้ากัน และจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรปอย่างใกล้ชิด

(+) ตลาดหุ้นเอเชีย: เปิดบวกเป็นส่วนใหญ่ตามทิศทางตลาดสหรัฐฯ โดยยังคงรอข่าวความคืบหน้าด้านการตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศในภูมิภาค

(+) ค่าเงินบาท: แข็งค่าอยู่ที่บริเวณ 32.23 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ -0.52%

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX: ลดลง 14 เซนต์ หรือ 0.21% ปิดที่ 67.20 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่ามาตรการคว่ำบาตรล่าสุดที่ยุโรปประกาศใช้กับรัสเซียนั้น จะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันเพียงเล็กน้อย ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 67.10 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.15%

(+) ราคาทองคำ COMEX: เพิ่มขึ้น 48.10 ดอลลาร์ หรือ 1.43% ปิดที่ 3,406.40 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์และการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า ก่อนที่จะถึงกำหนดเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค. ขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 3,408.00 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ +0.05%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 947.06 / +0.36%

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

22 ก.ค.สหรัฐ: Fed Chair Powell Speech
23 ก.ค.สหรัฐ: Existing Home Sales (มิ.ย.)
24 ก.ค.ไทย: ส่งออก (มิ.ย.)

ยูโรโซน: ประชุม ECB

25 ก.ค.สหรัฐ: Durable Goods Orders (มิ.ย.)

อังกฤษ: ค้าปลีก (มิ.ย.)

30 ก.ค.ยุโรโซน: 2Q25 GDP growth

สหรัฐ: ประชุม Fed, 2Q25 GDP growth (Adv.)

- Advertisement -