Daily Focus 2025 SET Target: 1180
ความคาดหวัง US-EU บรรลุข้อตกลงการค้าหนุนต่อ
ตลาดหุ้นวานนี้: SET Index ฟื้นตัวได้แรงกว่าที่คาดหลังจากพักตัววันก่อนหน้า โดยดัชนีปิดบวกถึง 27.87 จุด ที่ระดับ 1,219.62 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.5 หมื่นลบ. โดยได้แรงหนุนจากความคาดหวังว่าไทยอาจบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้เร็วๆ นี้ ตามหลังญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ที่เพิ่งปิดดีลกับสหรัฐฯ สถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้นบางๆ 194 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสูงถึง 4.5 พันลบ. (และ Long สุทธิ Index Futures 4 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้: เราคาดว่า SET Index จะแกว่งตัวในแดนบวกทดสอบแนวต้านหลัก 1,230-1,238 จุด หนุนจากบรรยากาศการลงทุนที่ยังเป็นบวก จากความคาดหวังว่ายุโรปใกล้จะบรรลุข้อตกลงการค้าก่อนเส้นตาย 1 ส.ค. ด้วยอัตราภาษี 15% ตามหลังญี่ปุ่นที่บรรลุข้อตกลงไปแล้ววันก่อนหน้า ส่วนพัฒนาการของไทยยังไม่มีเพิ่มเติมหลังจากข่าวล่าสุดที่ไทยมีการยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมให้กับฝั่งสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา เพื่อที่จะลดอัตราภาษีลงจาก 36% สู่ระดับ 20% หรือต่ำกว่าใกล้เคียงกับภูมิภาค ส่วนปัจจัยในประเทศวันนี้ติดตามตัวเลขส่งออกเดือน มิ.ย. (ตลาดคาด +18.3% y-y) ส่วนนโยบายการเงินคาดยังต้องผ่อนคลายต่อเนื่องเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอและความเสี่ยงด้านต่างจากภาษีทรัมป์ โดยตลาดคาดปรับลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งจากปัจจุบันที่ 1.75% นอกจากนี้เราคาดว่าตลาดจะเริ่มจับตาที่การประกาศผลการดำเนินงาน 2Q25 มากขึ้น ซึ่งภาพรวมคาดว่าจะชะลอตัวเล็กน้อยทั้ง q-q และ y-y อย่างไรก็ตามโฟกัสสำคัญอยู่ที่แนวโน้มการเติบโตช่วง 2H25 จากผู้บริหารในการประชุมนักวิเคราะห์ว่าจะมองผลกระทบจากภาษีทรัมป์มากน้อยเพียงใด ซึ่งคาดว่ายังมีความไม่แน่นอนและยังมีความเสี่ยงที่ประมาณการ EPS ของ SET ปัจจุบันที่ 89 บาทยังมีโอกาสถูกปรับลง ในเชิงกลยุทธ์ยังเน้น Selective Buy โดยเฉพาะหุ้นที่ยัง Laggard ดัชนีในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง
กลยุทธ์: เลือกลงทุนในหุ้นที่คาดกำไร 2Q25 แข็งแกร่ง มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
หุ้นเด่นเดือน ก.ค.: ITC, KCE, NEO, OSP, SCGP
FSSIA Portfolio: BA, CENTEL, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, PR9, STECON
หุ้นเด่น Finansia 24 ก.ค. 25 : ITC
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 15 บาท
- คาดกำไร 2Q25 ที่ 737 ลบ. ฟื้นตัว 9% q-q จากคำสั่งซื้อดีทั้ง EU และ US และแนวโน้ม 3Q25 ยังดีต่อจากคำสั่งซื้อที่ดีต่อเนื่อง q-q ล่าสุดได้มี secured orders ราว 30-40% ของเป้าแล้ว และไม่มีผลกรระทบ tariff
- นอกจากนี้หากไทยบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯที่อัตราภาษีราว 20% จะเป็น Sentiment บวกหนุน ราคาหุ้นปัจจุบันยังไม่แพง เทรด PER เพียง 12.4 เท่า และคาด Dividend Yield ราว 6%
- แนวรับ 12.60//12.20-12 บาท แนวต้าน 13.40//14 บาท
Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าภูมิภาคสุทธิ US$786 ล้าน รับปัจจัยบวก หลังสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่น โดยสูงสุดที่เกาหลีใต้และไต้หวันประเทศละ US$300 ล้าน ส่วนอาเซียนไหลเข้าสูงสุดที่ไทย US$139 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ายังอยู่ในทิศทางไหลเข้า หลังมีข่าวว่ายุโรปใกล้จะบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ก่อนเส้นตาย 1 ส.ค. เช่นกันในอัตรา 15%
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) SEAFCO คาด 2Q25 พลิกเป็นกำไรสุทธิ 36 ลบ. หลังจากขาดทุนติดต่อกัน 3 ไตรมาสก่อนหน้า โดยคาดรายได้ก่อสร้างใน 2Q25 เร่งขึ้นเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 ไตรมาสที่ 410 ลบ. +202% q-q, +56% y-y จากการเดินหน้าก่อสร้างโครงการใหญ่อย่างรถไฟฟ้าสายสีส้ม
Backlog ปัจจุบันแข็งแกร่งอยู่ที่ 2.2 พันลบ. หลักๆ จากรถไฟฟ้าสายสีส้มซึ่งทยอยรับรู้ถึง 1H26 คงประมาณการกำไรปี 2025 ที่ 148 ลบ. ฟื้นตัวแรงจาก 1 ลบ. ในปี 2024 คงราคาเหมาะสม 3 บาท จากทิศทางผลประกอบการ Turnaround ตั้งแต่ 2Q25 และเร่งขึ้นดีต่อใน 3Q25 อีกทั้ง Valuation ยังอยู่โซนต่ำ ยังแนะนำ “ซื้อ”
(+) WHA กำไรในครึ่งปีแรกจะดีกว่าครึ่งปีหลัง แนวโน้มยอดขายและยอดโอนชะลอตัวใน 2Q25 แต่ Backlog ที่แข็งแกร่งยังหนุนกำไรปีนี้ อย่างไรก็ตามใน 2Q25 มีกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์เข้ากอง WHAIR ซึ่งเราตั้งสมมติฐานกำไรพิเศษ 200 ลบ. จะส่งผลให้กำไรสุทธิ 2Q25 อยู่ที่ 1.1 พันลบ. -45% q-q และ -11% y-y หากเป็นไปตามคาด กำไรปกติ 1H25 จะคิดเป็น 60% ของประมาณการทั้งปี เรายังคงคาดกำไรปกติปี 2025 5.1 พันลบ. +12% y-y คงคาดกำไรสุทธิปี 2025 +16% y-y พื้นฐานยังแข็งแรง valuation ถูก ราคาเป้าหมาย 5.40 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”
(+) GULF ปัจจัยหนุนราคาหุ้นปรับขึ้น คือ เงินทุนต่างชาติไหลเข้าหุ้นขนาดใหญ่ การเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าในช่วงที่ผ่านมา ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มราว 2.2 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาเป้าหมายของเราปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 59.53 บาท และสุดท้ายแนวโน้มกำไร 2Q25 จะแข็งแกร่ง เบื้องต้นเราคาดกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 6.5-7.5 พันลบ. เพิ่มขึ้นจาก 5 พันลบ. ใน 1Q25 ปัจจัยหนุนหลักมาจากการเข้าถือหุ้นเพิ่มใน ADVANC จาก 19% เป็น 40% จะทำให้มีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มอีกราว 1.5-2 พันลบ. และมีเงินปันผลรับจาก KBANK อีกราว 800 ลบ. รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะมีกำไรจาก FX ราว 500-600 ลบ. สำหรับผลประกอบการของโรงไฟฟ้า SPP น่าจะทรงตัว เพราะแม้ค่าไฟฟ้าจะลดลงแต่ราคาก๊าซก็ปรับลงตาม โรงไฟฟ้า IPP มีรายได้เพิ่มขึ้นตามการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น แต่ก็จะถูกชดเชยจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ชะลอตัวจากปัจจัยฤดูกาล นอกจากนี้ไตรมาสนี้จะมีบันทึกรายการพิเศษเป็นกำไรจากการควบรวมกิจการในทางบัญชีที่เป็นการปรับมูลค่าการถือหุ้น ADVANC ราว 4.5-5 หมื่นลบ. คงคาดกำไรสุทธิปี 2025 +20% y-y ยังแนะนำ “ซื้อ”
(-) CBG สถานการณ์ตึงเครียดไทย-กัมพูชากลับมาเป็น sentiment เชิงลบอีกครั้ง การลดความสัมพันธ์ด้วยการเรียกฑูตกลับประเทศระหว่างไทย-กัมพูชา ขณะที่การปิดด่านทางบกยังดำเนินต่อไป เป็น sentiment เชิงลบต่อ CBG อีกครั้ง ซึ่งมีสัดส่วนรายได้กัมพูชาราว 13% ของรายได้รวม ปัจจุบันได้หันไปส่งสินค้าทางเรือแทน แต่ด้วยระยะเวลาขนส่งที่นานขึ้น จึงเริ่มกระทบต่อรายได้ส่งออกตั้งแต่ 2Q25 คาดรายได้กัมพูชาจะลดลงทั้ง q-q, y-y (เริ่มมีการปิดด่านในเดือน มิ.ย.) สถานการณ์ที่ยังยืดเยื้ออาจกระทบต่อรายได้ใน 2H25 ต่อไป จนกว่าโรงงานใหม่ในกัมพูชาจะเริ่ม operate ได้ตามแผนในเดือน ธ.ค.25
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 507.85 จุด หรือ +1.14%, ปิดที่ 45,010.29 จุด
ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮ ขานรับข่าวที่ว่าสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) ใกล้จะบรรลุข้อตกลงการค้า รวมทั้งการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่นแล้ว
(+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ นำโดยหุ้นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ หลังนักลงทุนคาดหวังว่าจะมีการทำข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) เพื่อลดผลกระทบจากภาษีศุลกากรที่ฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจ
(+) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวก ตามทิศทางตลาดสหรัฐฯ ขานรับข่าวที่ว่าสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) ใกล้จะบรรลุข้อตกลงการค้า
(+) ค่าเงินบาทแข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 32.14 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ -0.11%
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 6 เซนต์ หรือ 0.09% ปิดที่ 65.25 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) โดยล่าสุดมีสัญญาณบ่งชี้ว่าทั้งสองฝ่ายใกล้จะบรรลุข้อตกลงการค้าก่อนกำหนดเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค. ขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 65.45 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.31%
(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 46.10 ดอลลาร์ หรือ 1.34% ปิดที่ 3,397.60 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยถูกกดดันจากการที่นักลงทุนเทขายทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากมีรายงานว่าสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) ใกล้จะบรรลุข้อตกลงการค้าก่อนที่จะถึงเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค. ขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 3,445.90 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 0.02%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 954.80/-