Daily Focus: คาด SET แกว่งสร้างฐานระยะสั้นโซน 1,200+- จุด

2025 SET Target : 1180

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งบวกในช่วงเปิดตลาด ก่อนที่จะปรับตัวลง โดยเฉพาะช่วงบ่ายจากนักลงทุนที่ลดความเสี่ยงหลังมีการปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชา โดยสิ้นวันดัชนีปิดลบ 7.13 จุด ที่ระดับ 1,212.49 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.7 หมื่นลบ. โดยหุ้นที่มีรายได้จากกัมพูชาหลายตัวถูกกดดัน เช่น CPALL SAV CBG เป็นต้น สถาบันในประเทศพลิกมาขายสุทธิในตลาดหุ้นบางๆ 287 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิอีก 1.6 พันลบ. (แต่พลิกมา Short สุทธิ Index Futures 4.9 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET Index จะแกว่งตัวสร้างฐานระยะสั้นบริเวณ 1,200+- จุด ชะลอความร้อนแรงหลังจากปรับตัวขึ้นเด่นช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามยังอยู่ที่ผลการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงสถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านภาษีการค้ายังคงต้องจับตาว่าไทยจะได้ดีลก่อนเส้นตาย 1 ส.ค. เพื่อที่จะลดอัตราภาษีลงจาก 36% สู่ระดับ 20% หรือต่ำกว่าใกล้เคียงกับภูมิภาคได้หรือไม่ หลังยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมไปแล้ว ขณะที่ประเด็นการปะทะกับกัมพูชาปัจจุบันคาดยังกระทบต่อ SET และการดำเนินงานของ บจ. จำกัด อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ลุกลามเป็นวงกว้างขึ้นและกระทบต่อภาคการบินจะเป็นความเสี่ยงกับกลุ่มท่องเที่ยว อีกปัจจัยที่คาดว่ามีน้ำหนักมากขึ้นคือการทยอยคาดการณ์และประกาศกำไร 2Q25 บจ. ซึ่งภาพรวมคาดว่าจะชะลอตัวเล็กน้อยทั้ง q-q และ y-y อย่างไรก็ตาม โฟกัสสำคัญอยู่ที่แนวโน้มการเติบโตช่วง 2H25 จากผู้บริหารในการประชุมนักวิเคราะห์ว่าจะมองผลกระทบจากภาษีทรัมป์มากน้อยเพียงใด ซึ่งคาดว่ายังมีความไม่แน่นอนและยังมีความเสี่ยงที่ประมาณการ EPS ของ SET ปัจจุบันที่ 89 บาทยังมีโอกาสถูกปรับลง ในเชิงกลยุทธ์ยังเน้น Selective Buy โดยเฉพาะหุ้นที่ยัง Laggard ดัชนีในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง

กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่คาดกำไร 2Q25 แข็งแกร่ง มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว

หุ้นเด่นเดือน ก.ค. : ITC, KCE, NEO, OSP, SCGP

FSSIA Portfolio : BA, CENTEL, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, PR9, STECON

หุ้นเด่น Finansia 25 ก.ค. 25 : OSP

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 24 บาท
  • คาดกำไรปกติ 2Q25 ที่ 986 ลบ. +2% q-q และ +7% y-y หนุนจาก Gross Margin ที่แข็งแรงและอาจทำ New High ที่ 40.8% ด้าน Market Share อาจยังไม่ปรับขึ้นแต่ภาพรวมรายได้เติบโตได้ดี และมองว่าตัวเลขของ AC Nielsen อาจไม่สะท้อนภาพที่แท้จริง 
  • บริษัทยังมุ่งเน้นที่ Margin เป็นหลัก โดย 12 บาท ยังขายดี และโดนแย่งแชร์จาก 10 น้อยกว่าคาด น่าจะช่วยผ่อนคลายความกังวลให้กับตลาดเพราะมี 10 บาท เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค ไม่เน้นแข่งราคาเกินไป เราคาดกำไรปกติปี 2025 ที่ 3.55 พันลบ. +17% y-y และไม่มีผลกระทบจากเหตุปะทะไทย-กัมพูชา 
  • แนวรับ 16.50//16 บาท แนวต้าน 17//17.40 บาท 

Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติยังไหลเข้าภูมิภาคสุทธิต่อเนื่องและเร่งขึ้นเป็น US$962 ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ US$566 ล้าน ตามด้วยไต้หวัน US$334 ล้าน ส่วนอาเซียนยังคงไหลเข้าสูงสุดที่ไทย US$50 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าจะชะลอการไหลเข้า หลังขาดปัจจัยใหม่ที่ชัดเจนหนุน ตลาดยังติดตามว่าสหรัฐฯ จะบรรลุข้อตกลงการค้ากับประเทศใดเพิ่มเติมก่อนเส้นตาย 1 ส.ค. โดยเฉพาะยุโรปที่มีข่าวว่าใกล้ได้ข้อสรุป

ประเด็นสำคัญวันนี้

(0) ส่งออกไทยเดือน มิ.ย. 2025 มูลค่าส่งออกเดือน มิ.ย. +15.5% y-y ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 18-19% ส่วนนำเข้า +13.1% y-y ส่งผลให้เกินดุลการค้า US$1 พันล้าน ขณะที่ส่งออก 1H25 +15% y-y หลักๆ มาจากประเทศคู่ค้าเร่งสต็อกสินค้าก่อนที่การปรับขึ้นภาษีสหรัฐจะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ สำหรับมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร +13.5% y-y บวกเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยสินค้าเกษตร +10.7% และอุตสาหกรรมเกษตร +17.4% สินค้าที่ขยายตัวดี นำโดย ผลไม้ ไก่ ข้าวสาลี และอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ ส่วนอาหารสัตว์เลี้ยง +10.9% y-y และเครื่องดื่มชูกำลัง -7% m-m, +12.3% y-y แต่โตที่เวียดนามเป็นหลัก ขณะที่พม่า -26% m-m แต่ยังโต 8.3% y-y ตามฤดูกาล ที่ปรับลงเยอะสุดคือ กัมพูชา -19.7% m-m, -13.8% y-y เพราะถูกกระทบจากการปิดด่าน แนวโน้มส่งออกครึ่งปีหลังของปี 2025 มีโอกาสชะลอตัวจากผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ แต่จะมากน้อยแค่ไหนจะขึ้นอยู่กับอัตราภาษีที่อยู่ระหว่างเจรจา

(-) สถานการณ์ตึงเครียดไทย-กัมพูชา เราประเมินว่าอาจเป็น Sentiment ลบอ่อนๆ ต่อ SET Index และหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชาบ้าง โดยเรารวบรวมหุ้นที่มีธุรกิจในกัมพูชาหรือมีการขายสินค้าและให้บริการกัมพูชา เรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ SAV 100% CBG 13% AEONTS 8% BH 5% CPF BTG 3-4% BDMS 3% SCC 3% NEO ICHI 2-3% OR 2-3% GLOBAL 2% BCH 1.7% SCGD 1.5% HANA 1.4% CPALL CPAXT BJC <1% MINT CENTEL ERW <1% BBL KBANK SCB <1%

(-) กลุ่มค้าปลีก จากเหตุปะทะในหลายพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เราประเมินเป็น negative sentiment ต่อบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดที่ติดชายแดนไทย-กัมพูชา 7 จังหวัด โดยจากการรวบรวมจำนวนสาขาหากอิง % ต่อสาขารวม จะพบว่า DOHOME มีสัดส่วนสาขามากที่สุดที่ 12.5% รองลงมาเป็น Robinson, TWD, ILM ราว 8-10% ของสาขารวม และ GLOBAL, HMPRO, MEGAHOME ราว 3-6% ของสาขารวม ขณะที่กลุ่ม consumer staple CPALL CPAXT BJC คาดมีสาขาในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนราว 5-10% ของสาขารวม ทั้งนี้ ประเมินระยะสั้นการเก็งกำไรในกลุ่ม Home-related: DOHOME GLOBAL HMPRO น่าจะมาจากประเด็นบวกราคาเหล็กจีนปรับตัวขึ้นเร็ว, น้ำท่วมน่าน – เชียงราย และการซ่อมแซมบ้านเรือนพื้นที่ชายแดน

(-) SPALI คาดกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 1.2 พันลบ. ลดลง -23% y-y แต่ +205% q-q ตามยอดโอนที่เพิ่มขึ้นจากฐานต่ำใน 1Q25 รวมถึงส่วนแบ่งกำไร JV จากออสเตรเลียที่สูงขึ้นอย่างมีนัย อย่างไรก็ดี แรงกดดันมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดปรับลดเป็นระดับต่ำเหลือ 32.5% จากผลของการทำโปรโมชั่นราคาและสัดส่วนยอดโอนคอนโดที่ลดลง ภาพรวม 2H25 มีแนวโน้มดีขึ้น h-h จากการฟื้นตัวของคอนโด แต่คอนโดใหม่มีโอกาสเลื่อนเปิดตัว 3 แห่งไปปี 2026 เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ที่ 4.3 พันลบ. -30% y-y บน Backlog รองรับแล้ว 72% คงราคาเป้าหมาย 14.20 บาท ราคาหุ้นเต็มมูลค่า ยังแนะนำ “ขาย”

(-) ตลาดดาวโจนส์ลดลง 316.38 จุด หรือ -0.70%, ปิดที่ 44,693.91 จุด โดยถูกกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล บิสซิเนส แมชชีน (ไอบีเอ็ม) อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ยังคงปิดทำนิวไฮเนื่องจากผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทอัลฟาเบท (Alphabet) ช่วยให้นักลงทุนมีความหวังว่าผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รายอื่น ๆ จะแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน

(+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามคาด ขณะที่นักลงทุนตอบรับเชิงบวกต่อผลประกอบการที่แข็งแกร่งของธนาคารรายใหญ่ และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหภาพยุโรป (EU) กับสหรัฐฯ ที่เริ่มผ่อนคลาย

(-) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดลบ คาดหวังการประกาศดีลการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศในภูมิภาค

(-) ค่าเงินบาทอ่อนค่าอยู่ที่บริเวณ 32.24 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 0.31%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 78 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 66.03 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังสหรัฐฯ เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่าคาด รวมทั้งรายงานข่าวที่ว่ารัสเซียจะลดการส่งออกน้ำมันเบนซิน ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 66.21 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.27%

(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 24.1 ดอลลาร์ หรือ 0.71% ปิดที่ 3,373.50 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยราคาทองคำปรับตัวลงติดต่อกันเป็นวันที่สอง เนื่องจากนักลงทุนยังคงเทขายสินทรัพย์ปลอดภัย หลังมีสัญญาณว่าสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าทั่วโลกเริ่มคลี่คลายลง ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 3,429.40 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ -0.05%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 957.09 / 0.24%

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

25 ก.ค.สหรัฐ: Durable Goods Orders (มิ.ย.) // อังกฤษ: ค้าปลีก (มิ.ย.)
29 ก.ค.สหรัฐ: JOLTs Job Openings (มิ.ย.)
30 ก.ค.ยุโรโซน: 2Q25 GDP growth

สหรัฐ: ประชุม Fed, 2Q25 GDP growth (Adv.)

31 ก.ค.ญี่ปุ่น: ประชุม BoJ // สหรัฐ: Core PCE price Index (มิ.ย.)

จีน: NBS Manufacturing PMI (ก.ค.)

1 ส.ค.สหรัฐ: Deadline การปรับขึ้นภาษีตอบโต้, Non-Farm Payrolls, ISM Manufacturing (ก.ค.) // ยูโรโซน: อัตราเงินเฟ้อ (ก.ค.)

จีน: Caixin Manufacturing PMI (ก.ค.)

- Advertisement -