ไทยตกลงเจรจาหยุดยิงกับกัมพูชาประเมินเป็นบวกกับตลาด
Market Update
ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 64 จุด (-0.14%) ท่ามกลางการซื้อขายที่เป็นไปอย่างผันผวน นักลงทุนจับตาดูสถานการณ์เจรจาการค้าและประชุม FED ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 2.3% ตอบรับการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับ EU
Market Outlook
ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ประกาศบรรลุการค้ากับ EU ด้วย EU ยื่นภาษีนำเข้าให้สหรัฐฯ ที่ระดับ 0% พร้อมกับเสนอจะลงทุนในสหรัฐฯราว 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และซื้อพลังงานอีกกว่า 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมไปถึงซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ โดยการลงทุนจะครอบคลุมพลังงาน นิวเคลียร์ น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ เพื่อช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงเมื่อวานที่ผ่านมา ส่วนปัจจัยในประเทศเผชิญกับแรงกดดันข่าวความไม่สงบในพื้นที่จตุจักร ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวต่างชาติและกลุ่มท่องเที่ยว รวมไป ถึงบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย สำหรับการเจรจาระหว่างไทยกับ กัมพูชาที่มาเลเซียพบว่าทั้งสองประเทศตกลงเจรจาหยุดยิงตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนของวันนี้เป็นต้นไป
วันประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1210 – 1230 ภาพรวมดูเป็นบวกจากการเจรจาการค้าทั้งสหรัฐฯ ยุโรปและการหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชา ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะจังหวะปรับขึ้นของตลาดเป็นจุดทยอยลดพอร์ตการลงทุน เพราะปัจจัยพื้นฐานยังไม่ตามมาเป็นเพียงการฟื้นตัวจากกระแสเงินทุนและจิตวิทยา แต่อย่างไรก็ตามระยะสั้นอาจเลือก Trading หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับไทย อาทิ ส่งออก (ITC TU) นิคมฯ (AMATA WHA) การเงิน (MTC SAWAD TIDLOR) ปัจจัยติดตามคืนนี้ ได้แก่ ตำแหน่งเปิดรับสมัครงาน (Job Opening) , ความเชื่อมันผู้บริโภคจาก CB Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 7.5 ล้านตำแหน่ง และ 95.9 ตามลำดับ
หุ้นแนะนำซื้อวันนี้
AMATA (ซื้อ/ ราคาเป้าหมาย 33.50) ระยะสั้น AMATA จะได้รับผลกระทบไม่มากนักจากการปรับภาษีของสหรัฐฯ เนื่องจากมี Backlog ที่รอรับรู้รายได้อีกกว่า 21,000 ล้านบาท ขณะที่การขายที่ดิน ตั้งแต่ต้นปียังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นับถึงปัจจุบันมีแล้วกว่า 750 ไร่ และยังมีลูกค้าในกลุ่ม Data Center ที่อยู่ระหว่างเจรจาอีกมากกว่า 3 ราย
TU (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 13.10)
ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมารับกับความกังวลถึงอัตราภาษีของสหรัฐฯมากแล้ว ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปเนื้องต้นในช่วงต้นเดือน ก.ค.นี้ โดยคาดว่าจะไม่ถึงระดับสูงสุดที่เคยประกาศไว้ที่ระดับ 36% ขณะที่ผลประกอบการงวด 2Q25 หากไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนรายได้จะกลับมาเติบโตได้จากปีก่อน