บล.กสิกรไทย:

NEO : การเติบโตชะลอตัวลง จากการประหยัดต่อขนาดที่ลดลง

  • พรีวิวไตรมาส 2/2568 NEO มีกำหนดรายงานงบการเงินไตรมาส 2/2568 ในวันที่ 13 ส.ค. ซึ่งเราคาดว่าจะมีกำไรสุทธิที่ 107 ลบ. ลดลง 60.3% YoY จากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ลดลงจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นและค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้น และลดลง 58.3% QoQ จากค่าใช้จ่ายในการขายและดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ประมาณการกำไรสุทธิในครึ่งแรกปี 2568 ของเราคิดเป็นเพียง 40.6% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปีเดิมที่ 894 ลบ.
  • สถิติการดำเนินงาน เราคาดว่า NEO จะมีรายได้ในไตรมาส 2/2568 ที่ 2,572 ลบ. เพิ่มขึ้น 3.1% YoY จากยอดขายสินค้าในกลุ่มของใช้ในครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น แต่ลดลง 1% QoQ จากยอดขายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลที่ลดลง เราคาดว่า GPM จะลดลงมาอยู่ที่ 39% เทียบกับ 41.8% ในไตรมาส 1/2568 และ 46.8% ในไตรมาส 2/2567 จากต้นทุนสารลดแรงตึงผิว (surfactant) และค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ SG&A ต่อยอดขายยังอยู่ในระดับสูงที่ 32.9% เทียบกับ 29.2% ในไตรมาส 1/2568 และ 33.2% ในไตรมาส 2/2567 จากค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น อัตรากำไรสุทธิ (NPM) คาดว่าจะอยู่ที่ 4.1% เทียบกับ 10.8% ในไตรมาส 2/2567
  • มุมมองของเรา จากประมาณการกำไรที่ซบเซาในไตรมาส 2/2568 ทำให้เรามีมุมมองเชิงลบมากขึ้นต่อแนวโน้มการเติบโตของ NEO ปัจจัยแรกคือ การเติบโตของรายได้ที่ชะลอภายใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจจะไม่เพียงพอในการชดเชยต้นทุนคงที่เพิ่มเติม ได้แก่ ค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ยจ่าย ทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Operating Leverage) ที่ลดลงและการขยาย NPM ที่จำกัด ปัจจัยที่สองคือ ราคาน้ำมันเมล็ดปาล์ม (PKO) ที่อยู่ในระดับสูง และการแข่งขันด้านโปรโมชั่นที่รุนแรงในสินค้ากลุ่มของใช้ในครัวเรือน จะกดดันการขยายตัวของ GPM โดยราคาค่าเฉลี่ย PKO ในไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 1,991 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน (+4% QoQ) ขณะที่ไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 1,984 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน (ทรงตัว QoQ) เทียบกับราคาเฉลี่ยปี 2567 ที่ 1,170 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน
  • ปรับปรุงประมาณการกำไร เพื่อสะท้อนมุมมองของเราต่อแนวโน้มการเติบโตของรายได้ที่ลดลงและผลกระทบที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น เราจึงปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2568/69/70 ลง 31%/18.6%/28.1% ตามลำดับ

มุมมอง KS

  • แนะนำ “ถือ” และ TP ที่ 24.32 บาท จากการปรับลดประมาณการกำไรและการเปลี่ยนวิธีประเมินมูลค่าหุ้นมาใช้วิธี PER การประเมินมูลค่าไม่ถูก เมื่อเทียบกับ CAGR เฉลี่ย 4 ปีที่คาดว่าจะอยู่ที่ -0.3%

- Advertisement -