บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):

Siam Cement (SCC.BK/SCC TB)*

ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว พร้อมจะฟื้นตัว

Event : ผลประกอบการ 2Q68 และแนวโน้มธุรกิจ 

ผลประกอบการ 2Q68 – ต่ำกว่าทุกคาดการณ์ แต่ตลาดจะมองข้าม 

กำไรหลัก 2Q68 ของ SCC ที่ 2.1 พันล้านบาท (-42% YoY แต่ +97% QoQ) ต่ำกว่าเราและตลาดคาด 2% และ 17% ตามลำดับ ขณะที่เราคาดว่าตลาดจะมองข้ามผลประกอบการนี้และไปเน้นพื้นฐานที่กำลังดีขึ้น การที่กำไรพุ่งขึ้น QoQ เป็นผลจากเงินปันผลรับจาก Toyota และ Kubota (โดยปกติจะได้รับใน 2Q และ 4Q), ธุรกิจเคมีภัณฑ์กับบรรจุภัณฑ์แข็งแกร่งขึ้น และประสิทธิภาพด้านต้นทุน แม้ในขณะนี้ กำไรสุทธิ 2Q68 ที่ 1.73 หมื่นล้านบาท (พุ่งขึ้นจาก 1.1 พันล้านบาทใน 1Q68 และ 3.7 พันล้านบาทใน 2Q67) เกิดจาก: i) กำไรจากการซื้อในราคาต่อรองจำนวน 1.67 หมื่นล้านบาทจากการลงทุนของ CAP ใน Aster Chemicals and Energy Pte. Ltd. (Aster) พร้อมกับการปรับมูลค่ายุติธรรมของการลงทุนที่ถือหุ้น 30.57% ใน PT Chandra Asri Pacific Tbk (CAP) ไปเป็นเงินลงทุนอื่น (จากเดิมเป็นเงินลงทุนในบริษัทร่วม); และ ii) คชจ. การปรับโครงสร้างจำนวน 1.5 พันล้านบาทในทุกกล่มธุรกิจ ขณะที่ กำไรหลัก 1H68 ที่ 3.266 พันล้านบาท (-47% YoY) คิดเป็น 40% ของกำไรที่ตลาดคาด นอกจากนี้ SCC จะจ่ายเงินปันผล 1H68 ที่ 2.50 บาท/หุ้น (XD: 13 ส.ค.) คิดเป็น yield ราว 1.2% 

Key highlights 

i) กลุ่มธุรกิจเคมี (ไม่รวมขาดทุนจาก Long Son Petrochemicals (LSP)) มีปริมาณการขายที่แข็งแกร่งขึ้นและ spread ดีขึ้นด้วย ท่ามกลางอุปทานใหม่ที่เพิ่มมาต่ำกว่าคาด ขณะที่ HDPE spread อยู่ที่ US$363/ton (+13% QoQ แต่ -0.3% YoY) และ PP spread อยู่ที่ US$352/ton (+8% QoQ และ +3% YoY). 

ii) กำไรจากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับปูนซีเมนต์ ลดลง QoQ จากการปรับโครงสร้างต้นทุนและเป็นช่วงโลว์ซีซั่น แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยจะสูงขึ้นและกลยุทธ์ที่เน้นการเจาะตลาดปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ (สินค้าพรีเมียม) สูงขึ้น 

iii) ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ดีกว่าทุกคาดการณ์ จาก GPM ดีขึ้นแข็งแกร่งกว่าคาด การเพิ่มขึ้น QoQ หนุนจาก; i) ผลงานของ Fajar ดีขึ้นมาก, ประสิทธิภาพด้านต้นทุน (ต้นทุนถ่านหินลดลง) ที่น่าน่าสังเกตคือ EBITDA ของ Fajar เพิ่มขึ้น QoQ เป็นบวกเป็นครั้งแรกในรอบสองปี และขาดทุนสุทธิก็ลดลง QoQ อย่างมีนัยสำคัญ ด้วยเหตุนี้ เราจึงคงยืนยันคำแนะนำ “ซื้อ” SCG Packaging (SCGP.BK/SCGP TB)* (ราคาเป้าหมายปี 2569 ที่ 22.00 บาท)

การที่โรงงานปิโตรเคมี LSP กลับมาดำเนินงานชี้ว่าตลาดปิโตรเคมีฟื้นตัว 

SCC วางแผนที่จะเริ่มกลับดำเนินการโรงงานปิโตรเคมี LSP ภายในสิ้น ส.ค. 68 นี้ โดยจะได้ประโยชน์จากภาษีนำเข้า 2% ใหม่ (จาก 0%) ของเวียดนามสำหรับผลิตภัณฑ์โพลีเอทิลีนบางชนิด ซึ่งมีผลมาตั้งแต่ 8 ก.ค. 68 แล้ว กรณีนี้เป็นสัญญาณเชิงบวกว่าวัฏจักรขาลงของปิโตรเคมีอาจถึงจุดต่ำสุดแล้ว หนุนจาก spread ของ PP ดีขึ้น (อย่างน้อย US$400/ton) นอกจากนี้ เงินจากการขายหุ้น CAP บางส่วน (ลดจาก 30.57% เหลือ 20%) อาจช่วยลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA จาก 5.5x ลงเหลือ 3x

Valuation and action 

Bloomberg consensus ให้คำแนะนำ SCC ที่ ซื้อ/ถือ/ขาย (30%/52%/19%) – โดยให้ซื้อเพิ่มขึ้นและให้ถือลดลงเทียบกับก่อนงบ 2Q68 ออก ทั้งนี้หลังจากการปรับลดกำไรปี 2568F-69F YTD ลง 45-50% ตลาดคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 8.2 พันล้านบาท (+30% YoY) ในปี 2568F และ 1.28 หมื่นล้านบาท (+56% YoY) ในปี 2569F เราเชื่อว่าราคาหุ้น SCC จะยังคง outperform ต่อเนื่อง จาก: i) ตลาดมีการปรับเพิ่มกำไรจากการติดตามความคืบหน้าของข้อตกลงทางการค้ามีแนวโน้มดีและ sentiment บวกของนักลงทุน; และ ii) โอกาสที่โรงงานปิโตรเคมี LSP ของ SCC จะกลับมาดำเนินการได้ ซึ่งส่งสัญญาณว่าวัฏจักรขาลงจบแล้ว อย่างไรก็ดี ราคาหุ้น SCC ที่พุ่งขึ้นมา 23% YTD โดยเทรดที่ค่าเฉลี่ย 5 ปีในอดีตของ EV/EBITDA และ P/BV ระดับ +2SD และ -1.5SD เราอยู่ระหว่างการทบทวนคำแนะนำ  

Risks 

การปิดซ่อมบำรุงนอกแผน, อุปทานเกิน, ปัญหา cost overruns และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

- Advertisement -