บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย):

Thai Airways International (THAI TB)

ฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

เริ่มต้นวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” จากกระแสเงินสดแข็งแกร่งและมีอัพไซด์จากเงินปันผล

เรากลับมาเริ่มต้นการวิเคราะห์หุ้น THAI อีกครั้งด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” และให้ราคาเป้าหมายที่ 10.00 บาท โดยอิงจาก P/E เป้าหมายที่ 10.5 เท่า (เทียบเท่าอุตสาหกรรมสายการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก) THAI เป็นสายการบินแห่งชาติที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในประเทศไทย หลังการฟื้นฟูกิจการ การบินไทยได้ก้าวขึ้นสู่เส้นทางบินที่ไม่มีการแข่งขันสูงด้วยฝูงบินและเครื่องยนต์ที่ลดจำนวนลงแต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น (เหลือ 5 รุ่นจาก 9 รุ่นในปี 62) เน้นเส้นทางที่ทำกำไรเป็นหลัก และลดจำนวนพนักงานลงถึง 50% ดาวน์ไซด์ ได้แก่ การแทรกแซงจากภาครัฐ โดยเฉพาะเรื่องการจัดซื้อเครื่องบิน ราคาน้ำมันที่ผันผวน และความไม่สงบทั่วโลก

เติบโตแซงหน้าคู่แข่งในภูมิภาค

THAI วางแผนใช้ประโยชน์จากทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์และสถานะสายการบินแห่งชาติ โดยมีแผนขยายฝูงบินเพิ่มขึ้น 50% ภายใน 5 ปีข้างหน้า เพื่อรับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในเอเชีย ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างรายได้ต่อผู้โดยสาร (Yield) และอัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Load factor) ที่ดีกว่าคู่แข่งในภูมิภาค โดยเฉพาะเส้นทางยุโรปและญี่ปุ่น ทั้งนี้ Yield หลังโควิดของ THAI ยังคงแข็งแกร่ง โดยลดลงน้อยกว่าคู่แข่งในช่วงปี 66–67 อีกทั้งยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นจากการลดต้นทุนเพิ่มเติมและการเติบโตของรายได้จากพันธมิตรร่วมรหัสเที่ยวบิน (codeshare partners)

Yield ต่อผู้โดยสารลดลงบางส่วน แต่ชดเชยด้วยการควบคุมต้นทุน

จากการที่มีเครื่องบินใหม่เข้าสู่ตลาดมากขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะจากสายการบินแห่งชาติของจีนและตะวันออกกลาง เราคาดว่า Yield ต่อผู้โดยสารของ THAI จะลดลงจาก 3.0 บาท/RPK ในปี 66–67 เหลือ 2.8 บาท/RPK ในปี 68–70 อย่างไรก็ตาม เราคาดว่ากำไรของ THAI จะยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากฐานต้นทุนที่ต่ำ อีกทั้ง CASK มีแนวโน้มลดลง นอกจากนี้ยังมีอัพไซด์จากการประหยัดน้ำมันด้วยเครื่องบินรุ่นใหม่ ช่องทางการขายตรงที่เพิ่มขึ้น และการมีศูนย์ซ่อมบำรุงของตัวเอง ซึ่งสามารถชดเชยผลกระทบจาก Yield ที่ลดลงได้

ครบทุกองค์ประกอบที่นักลงทุนมองหา

เราเชื่อว่าสถานะทางธุรกิจ ฐานะการเงิน และผลประกอบการของการบินไทย ทำให้เป็นหุ้นสายการบินที่น่าลงทุน ประกอบด้วย อัตราส่วน P/E ที่ต่ำ (3.5 เท่า) อัตราผลตอบแทนจากกระแสเงินสดอิสระ (FCF yield) สูงถึง 9% งบดุลที่แข็งแกร่ง (อัตราหนี้สินสุทธิต่อทุนที่ -0.02 เท่า) อัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุน (ROIC) ที่สูงถึง 19% และทีมผู้บริหารที่มีความสามารถ ซึ่งสามารถพาบริษัทผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้อย่างดี

 

 

- Advertisement -