บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย):
Bluebik Group (BBIK TB)
คาดว่าธนาคารไร้สาขาและโครงการภาครัฐจะหนุนการเติบโตในช่วง 2H68
คงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อมปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 28.00 บาท เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับหุ้น BBIK จากเหตุผลหลัก 2 ประการ คือ 1) คาดว่ากำไรหลักปี 68/69 จะเติบโตแข็งแกร่งที่ 10% และ 18% ตามลำดับ 2) มูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่ถูก (P/E ปี 68/69 ต่ำที่สุดในกลุ่มบริษัทให้บริการด้านเทคโนโลยีที่เราวิเคราะห์) เราได้ปรับลดราคาเป้าหมายที่อิงจากวิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) จาก 39.90 บาท เหลือ 28 บาท เนื่องจากมีการ 1) ปรับลดประมาณการกำไรหลักปี 69-73 ลง 11% 2) ปรับเพิ่มอัตราคิดลด (WACC) เป็น 11.8% จากเดิม 10.0% และ 3) ปรับลดอัตราการเติบโตระยะยาว (Terminal Growth Rate) ลงเหลือ 2.0% จาก 2.3% ส่วนปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้มูลค่าหุ้นขึ้น (re-rating catalyst) คือ การชนะโครงการขนาดใหญ่จากธนาคารไร้สาขาในช่วงปลายไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 ปี 68
คาดกำไรหลักไตรมาส 2/68 ที่ 73 ล้านบาท (+60% YoY)
เราคาดกำไรหลักไตรมาส 2/68 (ประกาศผลวันที่ 13 ส.ค.) อยู่ที่ 73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% YoY แต่ทรงตัว QoQ กำไรที่เพิ่มขึ้น YoY มาจากฐานที่ต่ำในไตรมาส 2/67 (เนื่องจากมีการเซ็นโครงการน้อยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 67) ขณะที่กำไรทรงตัว QoQ เพราะมูลค่าโครงการที่ชนะในไตรมาส 2/68 ใกล้เคียงกับไตรมาส 1/68 เราคาดว่ากำไรหลักครึ่งปีแรก 68 จะอยู่ที่ 145 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% YoY คิดเป็น 43% ของประมาณการทั้งปีใหม่ของเรา การเติบโตของกำไรในครึ่งหลังปี 68 คาดว่าจะได้แรงหนุนจากการได้งานเพิ่มขึ้นจากลูกค้าเดิม ธนาคารไร้สาขา และหน่วยงานภาครัฐ
ปรับลดประมาณการกำไรหลักปี 68/69 ลง 6%/11%
เราปรับลดประมาณการกำไรหลักปี 68 ลง 6% เนื่องจากการลงนามโครงการในช่วงครึ่งปีแรกค่อนข้างน้อย เพราะลูกค้าหลายรายมีท่าที “รอดูสถานการณ์” โดยเฉพาะโครงการใหญ่ที่มีระยะเวลานาน ท่ามกลางปัจจัยลบจากเศรษฐกิจมหภาคและความไม่แน่นอนของสงครามการค้า นอกจากนี้ เรายังปรับลดประมาณการกำไรหลักปี 69-73 ลงอีก 11% โดยอิงจากการที่ BBIK ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินในปี 67 และอาจรวมถึงปี 68 ซึ่งทำให้เราต้องระมัดระวังมากขึ้นในการคาดการณ์ระยะยาว
บริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าถูกที่สุดในกลุ่มที่เราวิเคราะห์
ขณะนี้เราคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรหลักจะเร่งตัวจาก 10% ในปี 68 เป็น 18% ในปี 69 เนื่องจากความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าได้คลี่คลายแล้ว (โดยสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีตอบโต้ 19% ตั้งแต่ 1 ส.ค. 68) และลูกค้าต้องกลับมาลงทุนในสิ่งจำเป็น เช่น การลงทุนในธนาคารไร้สาขา การรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน และการปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งนี้ ค่า P/E ของ BBIK ในปี 68/69 อยู่ที่ 12 เท่า และ 10 เท่าตามลำดับ ซึ่งต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทให้บริการเทคโนโลยี 5 แห่งที่เราวิเคราะห์อยู่