บล.กสิกรไทย:

กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง : ขับเคลื่อนด้วยรถไฟความเร็วสูง
  • มีอะไรใหม่
1) จากรายงานของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้เปิดประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย–จีน ระยะที่ 2 ซึ่งแบ่งเป็น 8 สัญญา มูลค่าโครงการรวม 2.37 แสนลบ. โดยคาดว่าจะประกาศผลการประมูลในเดือนส.ค. 2568 และมีกำหนดระยะเวลาก่อสร้างตั้งแต่ต้นปี 2569-73 รฟท. คาดว่า ITD, CK และ STECON จะเข้าร่วมการประมูล
2) จากรายงานของบางกอกธุรกิจ กระทรวงคมนาคมได้ประกาศแผน M-Map 2 ซึ่งประกอบด้วยโครงการรถไฟฟ้าจำนวน 19 สาย มูลค่าโครงการรวม 5.8 แสนลบ. โดยมีกำหนดเริ่มดำเนินการระหว่างปี 2568-83
  • รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ในระยะแรกของโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย–จีน CK และ STECON ไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อสร้าง เนื่องจากโครงการดังกล่าวแบ่งเป็น 14 สัญญาขนาดเล็ก และมีข้อกำหนดในการร่วมมือกับผู้รับเหมาจีน อย่างไรก็ตามในระยะที่ 2 สัญญามีขนาดใหญ่ขึ้นและมีข้อกำหนดในการร่วมงานกับผู้รับเหมาจีนลดลง ทำให้คาดว่า CK และ STECON จะเข้าร่วมการประมูล จากข้อมูลในอดีต CK และ STECON มีอัตราชนะประมูลโครงการรถไฟอยู่ที่ประมาณ 25% (แผนภาพ 5) ซึ่งเพิ่มโอกาสในการบรรลุเป้าหมาย backlog ใหม่ เราคาดว่า CK และ STECON จะได้รับ backlog ใหม่ได้มูลค่ารวมประมาณ 5 หมื่นลบ.ในปี 2568 ในเชิง YTD CK ยังไม่ได้รับ backlog ใหม่ ขณะที่ STECON ได้ backlog ใหม่แล้ว 2.6 หมื่นลบ.
  • ความเสี่ยงจากการขาดแคลนแรงงาน จากสถานการณ์ความขัดแย้งในประเทศกัมพูชาและเมียนมา ทำให้จำนวนแรงงานต่างด้าวที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยลดลง ส่งผลให้มีแรงงานในตลาดลดลง อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวคาดว่าจะไม่กระทบกับ CK, STECON และ PYLON เนื่องจากยังมีความสามารถในการจัดหาแรงงานเพียงพอสำหรับรองรับโครงการปัจจุบันและประมูลงานใหม่ ในทางตรงกันข้าม SEAFCO อาจเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน ซึ่งอาจทำให้การเข้าร่วมประมูลงานที่จะมาถึงล่าช้าออกไป จากโครงสร้างต้นทุนพบว่า ค่าแรงคิดเป็นประมาณ 20% ของต้นทุนรวมของ SEAFCO โดยแรงงานค่าแรงต่ำคิดเป็นประมาณ 10% หาก SEAFCO เป็นต้องเพิ่มค่าแรง 5% เพื่อดึงดูดแรงงาน อาจกระทบต่อกำไรปกติของ SEAFCO ในปี 2568/69 ประมาณ 3.5%/3%
  • มุมมองเชิงบวก เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อภาคธุรกิจบริการก่อสร้าง โดยเลือก CK (คำแนะนำ: “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 21.5 บาท) และ SEAFCO (คำแนะนำ: “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 3.43 บาท) เป็นหุ้นเด่น ปัจจัยบวกประกอบด้วย 1) การเร่งเปิดประมูลโครงการภาครัฐในไตรมาส 3/2568 ก่อนสิ้นสุดปี FY2568 2) การอนุมัติงบประมาณปี FY2569 ภายในสิ้นเดือนส.ค. และ 3) แนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่งของผู้รับเหมาก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและงานตอกเสาเข็ม ในด้านกำไร เราคาดว่ากำไรจากการดำเนินงานของผู้รับเหมาจะเติบโตต่อทั้ง YoY และ QoQ ในไตรมาสที่เหลือของปี โดยมีแรงหนุนจากปริมาณ backlog ในระดับสูง

- Advertisement -