ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเกมรุกสร้างองค์กรใหม่พร้อมจัดทัพผู้นำมุ่งเป้าหัวใจสำคัญเพื่อลูกค้า และเป็นครั้งแรกที่แต่งตั้งหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (Chief Data and AI Officer)
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศแต่งตั้งทีมผู้บริหารในโครงสร้างองค์กรที่มุ่งเป้าหมายชัดเจน (Focused organization) โดยยึดลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 โครงสร้างองค์กรใหม่จะส่งเสริมความเรียบง่าย ลดขั้นตอนการตัดสินใจ และทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ารวมถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาด-เทคโนโลยี
นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า“การปรับโครงสร้างองค์กรและการจัดทัพผู้นำใหม่ครั้งนี้ จะทำให้ทรู คอร์ปอเรชั่น ไม่เพียงแต่จะมีศักยภาพพร้อมในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าในวันนี้ แต่ยังพร้อมสำหรับอนาคต ที่เราคาดการณ์ว่า ความคาดหวังของลูกค้า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตลาดอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและผันผวนอย่างรุนแรง”
ทรู คอร์ปอเรชั่น ยึด 5 หลักการในการออกแบบโครงสร้างองค์กรใหม่และจัดคณะผู้บริหารระดับสูงให้มีศักยภาพระดับสูง ดังนี้
5. มุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Sharpened Focus on Digitalization) : ทรูวางกลยุทธ์มุ่งสู่ความเป็น Legacy Free โดยปลดล็อกจากข้อจำกัดของระบบเดิมเพื่อเปิดทางสู่ความคล่องตัวและการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน การสร้าง Digital & Omni-channel Customer Journey จะเป็นหัวใจสำคัญของการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้ไร้รอยต่อในทุกช่องทาง ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์แอปพลิเคชัน และคอลเซ็นเตอร์ โดยมีข้อมูลลูกค้าเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบ และสุดท้ายคือการขับเคลื่อนองค์กรด้วย Automation ที่ช่วยลดงานซ้ำซ้อน เพิ่มความแม่นยำ และปลดศักยภาพพนักงานให้ไปโฟกัสกับการสร้างคุณค่าสู่ลูกค้าอย่างแท้จริง
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเป็นผู้นำด้านประสบการณ์ลูกค้าแบบครบวงจร ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้แต่งตั้งผู้บริหารมาขับเคลื่อนภารกิจสำคัญนี้ โดย นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านประสบการณ์ลูกค้าและธุรกิจรีเทล รับผิดชอบดูแลการบริหารจัดการทุกช่องทางการขาย การบริการทุกช่องทางเพื่อให้ทรูสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทั่วประเทศ นายชารัด เมห์โรทรา เป็นหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกลุ่มธุรกิจลูกค้าบุคคล ดูแลผลิตภัณฑ์และการส่งมอบคุณค่าสูงสุดเพื่อตอบสนองลูกค้าอย่างเต็มรูปแบบ นายคูรัม อัชฟาค รับหน้าที่หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเครือข่าย พัฒนาเครือข่ายอัตโนมัติด้วย AI เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานบนเครือข่ายที่เหนือชั้น (Unmatched Network Experience)
นายฐานพล มานะวุฒิเวช ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านโฮมคอนเนคทิวิตี้ นำเสนอดิจิทัลไลฟ์สไตล์ครบวงจรตั้งแต่บรอดแบนด์ความบันเทิง ถึงสมาร์ทโฮม ตอบโจทย์ครัวเรือนนับล้าน ขณะที่ ดร.ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกลุ่มธุรกิจองค์กร เร่งการเปลี่ยนผ่านองค์กรธุรกิจสู่ดิจิทัลเพื่อเป็นพาร์ทเนอร์เทคโนโลยีอันดับหนึ่งที่องค์กรและ SME วางใจ และที่สำคัญนับเป็นครั้งแรกของทรู คอร์ปอเรชั่นที่แต่งตั้งผู้บริหาร คือ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (Chief Data and AI Officer) เพื่อขับเคลื่อนการเป็น AI First Company อย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้ง การแต่งตั้งหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อรับหน้าที่ความรับผิดชอบในการบริหารจัดการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยเฉพาะ เพื่อออกแบบระบบการจัดการ ให้ทันกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
นายซิกเว่ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในระยะ 6 เดือนข้างหน้าได้วางเป้าหมายชัดเจนเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในทุกด้าน โดยด้านเครือข่ายเราจะเสร็จสิ้นโครงการ One Network 100% ภายในเดือนกันยายน ซึ่งจะทำให้ลูกค้าได้รับสัญญาณ 5G/4G ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น โดยคลื่นความถี่ 2300 MHz ที่ประมูลมาล่าสุดจำนวน 70 MHz ซึ่งมีความจุเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 10 MHz จะทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้น 17% ทันที และคลื่น 2300 MHz สามารถรองรับการใช้งาน 5G ได้ในอนาคต ทั้งนี้ ทรูจะยกระดับประสบการณ์ใช้งาน 5G บนคลื่น 2600MHz ด้วยการใช้เทคโนโลยี Dynamic Spectrum Sharing (DSS) ที่จะช่วยให้การใช้งานสัดส่วน 5G และ 4G ยืดหยุ่นตามสัดส่วน และ 5G จะสามารถเปิดให้บริการเต็มศักยภาพแบนด์วิดท์ทั้ง 90MHz และเริ่มใช้คลื่นใหม่ 1500 MHz เพื่อเพิ่มความจุดาวน์ลิงก์ร่วมกับคลื่นย่านความถี่ต่ำแบนด์อื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วเครือข่ายอีกด้วย
ด้านการบริการดิจิทัล เราตั้งเป้าให้ลูกค้าทุกรายสามารถทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชันได้ครบทุกรูปแบบ ซึ่งตั้งแต่ต้นปีลูกค้าหันมาใช้ช่องทางดิจิทัลแล้ว 19% และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้านประสบการณ์ลูกค้า เราจะมอบการบริการไร้รอยต่อทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้าน คอลเซ็นเตอร์ หรือแอปพลิเคชัน โดยลูกค้าสามารถเริ่มต้นธุรกรรมในช่องทางหนึ่งแล้วไปทำต่อในอีกช่องทางได้อย่างต่อเนื่อง เช่น สอบถามผ่านคอลเซ็นเตอร์แล้วมาดำเนินการต่อที่หน้าร้านหรือสลับไปใช้แอปได้ทันที เพื่อความสะดวกรวดเร็ว และตอบโจทย์ทุกความต้องการ“