ตลาดหุ้นไทยเริ่มปรับฐานสอดคล้องกับที่เราประเมินไว้

Market Update

ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 34 จุด (-0.08%) ไร้ปัจจัยใหม่ๆ นักลงทุนรอดูการประชุม Jackson Hole ช่วงปลายสัปดาห์ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1.1% หลังจาก Trump ได้เข้าพูดคุยกับเซเลนสกี

Market Outlook

เมื่อวานที่ผ่านมาสภาพัฒน์ได้ประกาศการขยายตัวเศรษฐกิจไทยประจำช่วง 2Q25 พบว่าขยายตัว 2.8%YoY ใกล้เคียงกับที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ การขยายตัวชะลอลงจาก 1Q25 ที่ 3.2%YoY ปัจจัยกดดันหลักๆ มาจากการชะลอตัวของการผลิตนอกภาคเกษตร โดยเฉพาะกลุ่มบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว สำหรับด้านการใช้จ่ายภาคเอกชนและการใช้จ่ายภาครัฐชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม การส่งออกยังขยายตัวเด่น 12%YoY ตามการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์โดยทางสภาพัฒน์คาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเฉลี่ยในปีนี้ 2%YoY ทั้งนี้ด้วยเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกขยายตัว 3%YoY แต่ทั้งปีขยายตัวเฉลี่ย 2%YoY เท่ากับว่าครึ่งปีหลังอาจขยายตัวเพียง 1% มองเป็นแรงกดดันต่อการลงทุนหุ้นไทยจากนี้ ซึ่งทั้งปี 25 สภาพัฒน์คาดการณ์การบริโภคขยายตัวเพียง 2.1%YoY ลดลงจากปีก่อนที่ขยายตัวได้มากถึง 4.4%YoY สำหรับต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ เมื่อคืนประกาศดัชนีภาคอสังหาที่ระดับ 32 ต่ำกว่า Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 34 แต่อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไม่ได้มองกังวลกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ เท่าใดนักเพราะยังเห็นการปรับขึ้นของ US Bond Yield อาจสะท้อนถึงความกังวลด้านเงินเฟ้อและเริ่มเห็นเงินบาทขยับอ่อนค่าขึ้นมาล่าสุดทดสอบระดับ 32.5 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสอดคล้องกับการขายของนักลงทุนต่างชาติ โดยวานนี้ขายสุทธิ 644 ล้านบาท พร้อมกับการปรับฐานของ SET ราว 1.36% คล้ายคลึงกับที่ประเมินไว้ว่าระดับ Valuation หุ้นไทยเริ่มแพง ผสานกับ Price In ข่าวดีต่างๆไปมากแล้ว อาทิ เจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศ รวมไปถึงการลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย และเมื่อมองไปยังข้างหน้าเผชิญแรงกดดันจากการส่งออกและการเมืองไทยที่จะเริ่มกลับมาเป็นประเด็น ปัจจัยติดตามคืนนี้ได้แก่ ใบขออนุญาตก่อสร้างและยอดสร้างบ้านใหม่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 1.39 ล้านและ 1.29 (ตามลำดับ) 

วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1230 – 1250 อาจเห็นการฟื้นตัวบ้างจากการปรับลงหนักวานนี้ อย่างไรก็ตาม Upside ยังจำกัดเช่นเดิม เพราะยังขาดปัจจัยหนุนอย่างมีนัยยะ ดังนั้นเชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนระยะสั้น จังหวะปรับขึ้นยังมองเป็นโอกาสลดพอร์ตการลงทุน โดยแนะนักลงทุนอาจมองหาหุ้นปันผลระหว่างรอดูทิศทางการเมือง เชื่อว่าหุ้นที่จ่ายปันผลระหว่างกาลจะมีการเคลื่อนไหว Outperform Top Pick (SCB KBANK) กลุ่ม Defensive (BDMS)

หุ้นแนะนำซื้อวันนี้

SCB (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 137.00 บาท)

กำไรสุทธิใน 2Q25 ออกมาแข็งแกร่งที่ 12.8 พันลบ. (+27.7% YoY, +2.3% QoQ) ด้านงบดุลแข็งแกร่ง NPL ratio ลดลงที่ 3.3% และ Coverage ratio เพิ่มเป็น 158.7% กลยุทธ์ใน 2H25 เน้นดูแลคุณภาพสินเชื่อ และควบคุมค่าใช้จ่ายเพื่อลด Cost to income ratio (CIR) ชดเชยผลกระทบจากสินเชื่อที่ชะลอตัว แม้มองว่าเป้าหมายลด CIR เหลือราว 35% ค่อนข้างท้าทายเพราะรายได้ที่ผันผวนล้อกับเศรษฐกิจ แต่เราชอบที่ SCB มุ่งมั่นในการเพิ่ม ROE และรักษาผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นด้วยการจ่ายเงินปันผลสูง

BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท)

รายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 3.5 พันล้านบาท (+5% YoY, – 20% QoQ) อ่อนตัว QoQ เนื่องจาก 1) ปัจจัยนอกฤดูกาล 2) จำนวนผู้ป่วยต่างชาติ โดยเฉพาะจีนและกัมพูชาเดินทางมารักษาลดลง และ 3) ค่าใช้จ่ายทางภาษีที่เพิ่มขึ้น โดยใน 3Q25 เรามองว่าผลประกอบการจะเติบโตแบบชะลอตัว YoY จากฐานผู้ป่วยโรคระบาดที่สูงในปีก่อน ประกอบกับกลุ่ม CLMV ที่มีแนวโน้มอ่อนตัวจากความกังวลชายแดนไทยกัมพูชา ทั้งนี้ยังคงคาดการฟื้นตัวดี QoQ จากโรคระบาดที่มากขึ้นหลังหน้าฝน

- Advertisement -