ผู้ถือหุ้นกู้ ACAP รวมตัวยื่นฟ้องศาล เอาผิดผู้บริหารและบริษัท ACAP พร้อมพวกข้อหาโกงเจ้าหนี้

ผู้ถือหุ้นกู้ ACAP เดินหน้าร่วมกันเร่งรัด ติดตามทรัพย์สิน เพื่อความโปร่งใสและเป็นธรรมกับนักลงทุนรายย่อยทุกราย พร้อมรวบรวมรายชื่อและพยานหลักฐานเอาผิดผู้บริหาร ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องกับการก่อให้เกิดความเสียหาย มุ่งสร้างบรรทัดฐาน ฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน

นายนครินทร์ วงแหวน ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถือหุ้นกู้บริษัท เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ACAP) ได้จัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้รายย่อย ที่บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา เพื่อชี้แจงการดำเนินการตามกฎหมายกับอดีตผู้บริหาร ACAP หลังศาลล้มละลายกลางศาลมีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยแผนและมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งฟื้นฟูกิจการลูกหนี้ (ACAP) เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมีผู้ถือหุ้นกู้รายย่อยให้ความสนใจเข้าร่วมประชุมกว่า 40 คน

นายนครินทร์ กล่าวว่า การที่ศาลไม่เห็นชอบด้วยแผนและมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งฟื้นฟูกิจการลูกหนี้ (ACAP) ถือเป็นการคืนความเป็นธรรมให้กับนักลงทุนรายย่อย โดยเห็นว่าแผนฟื้นฟูกิจการที่ดำเนินการโดยบริษัทลูกของ ACAP สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนรายย่อย ทำให้นักลงทุนที่เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ ซึ่งการดำเนินงานหลังจากนี้ จะเร่งรัดติดตามทรัพย์สินจากอดีตผู้บริหารที่มีดำเนินการโดยไม่สุจริตคืนกลับสู่นักลงทุนรายย่อยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย พร้อมยื่นข้อเรียกร้องขอความเป็นธรรมต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินคดีให้ถึงที่สุด

“วันนี้ ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญของนักลงทุนรายย่อยผู้ถือหุ้น ACAP ที่ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น จากการที่ศาลมีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยแผนและมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งฟื้นฟูกิจการลูกหนี้ (ACAP) ซึ่งไม่เป็นธรรมกับนักลงทุนรายย่อย ทำให้นักลงทุนรายย่อยมีโอกาสได้ใช้กระบวนการทางกฎหมายเพื่อบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น หลังจากนี้ทีมทนายจะดำเนินการตามกฎหมายทุกช่องทางเพื่อให้นักลงทุนได้รับความเป็นธรรมมากที่สุด” นายนครินทร์ กล่าว

นักลงทุนยืนยันเดินหน้าฟ้องถึงที่สุด

ด้านน.ส.วิไล ธนพัฒน์พาณิชย์ ตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้ ACAP กล่าวว่า รู้สึกดีใจ ที่ศาลให้ความยุติธรรมกับนักลงทุน โดยยกคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของ ACAP ซึ่งดำเนินการโดยไม่โปร่งใส และไม่มีหลักประกันว่าเจ้าหนี้จะได้เงินคืน อยากให้ทีมทนายความรีบดำเนินการตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด เพราะคดีความต่าง ๆ ยืดเยื้อมากว่า 5 ปีแล้ว หวังว่าจะได้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจากการลงทุนคืน อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลนักลงทุนรายย่อยที่ได้รับความเสียหายจากการลงทุน ถ้ามีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นอีก คงไม่มีใครกล้าลงทุน

ขณะที่นางเยาวนี จันทรา ตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้ ACAP อีกราย กล่าวว่า ติดตามเรื่องคดีของ ACAP มา 5 ปีแล้วเช่นกัน ที่ซื้อหุ้นกู้ ACAP เพราะมองเห็นว่าเป็นธุรกิจที่ดีและมีแนวโน้มได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน แต่สิ่งที่ผู้บริหารทำ คือการตั้งใจโกง อ้างว่าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด ไม่ยอมจ่ายหนี้ มีการโยกย้ายทรัพย์สินไปที่บริษัทลูก และบังคับจ่ายหนี้ให้กับนักลงทุนเพียง 40% ซึ่งไม่เป็นธรรม รวมถึงแผนฟื้นฟูกิจการที่ผู้บริหารเสนอมาก็ไม่ได้แผนจ่ายคืนหนี้ให้นักลงทุนรายย่อยที่ชัดเจน และจะดำเนินการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานในการตรวจสอบการออกหุ้นกู้ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป

นางอาภรณ์ ตั้งธรรมธิติ นักลงทุนในวัย 73 ปี กล่าวว่า ได้ลงทุนหุ้นกู้กับ ACAP ไป เป็นเงิน 500,000 บาท ชุดแรกไม่มีปัญหา พอชุดที่ 2 บริษัทจ่ายไม่ครบ และส่งหนังสือแจ้งว่าจะชำระหนี้ในสัดส่วน 40% ซึ่งมองว่าไม่ถูกต้อง ทั้งที่บริษัทยังดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ และมีการให้บริษัทในเครือมาซื้อหนี้ต่อ แต่ไม่จ่ายเงินให้นักลงทุน ซึ่งไม่เป็นธรรม และมีเจตนาโกงอย่างชัดเจน ตั้งใจและฟ้องดำเนินคดีถึงที่สุด เพราะนี่เป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ตั้งใจลงทุนไว้ใช้ยามเกษียณ โดยไม่ต้องพึ่งพอลูกหลาน แต่กลับเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตลท. กลต. เข้ามาช่วยเหลือนักลงทุนรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้กระทบนักลงทุน

“ACAP ออกหุ้นกู้มาหลายชุด ชุดแรกซื้อไปไม่มีปัญหา แต่ชุด 2 เห็นเจตนาชัดเจนว่าตั้งใจโกง โดยแจ้งว่าจะชำระหนี้ 40% ซึ่งเราไม่รับ ถ้ารับก็เป็นการส่งเสริมคนโกง เราอายุเยอะแล้ว อยากมีเงินไว้ใช้ยามเกษียณ ไว้กินตอนแก่ไม่ต้องพึ่งลูกหลาน เราเป็นเจ้าของเงิน เขาเป็นหนี้เราก็ต้องจ่าย จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ถ้าไม่ตายก็ยังมีความหวังที่จะได้เงินคืน” นางอาภรณ์กล่าวสำหรับบริษัท เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ACAP) ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้จำนวน 7 รุ่น นับตั้งแต่ปี 2563 รวมมูลค่าเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยกว่า 4,000 ล้านบาท โดยบริษัทยื่นต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอฟื้นฟูกิจการและเป็นผู้ทำแผน แต่ได้รับการคัดค้านจากนักลงทุนรายย่อย ซึ่งไม่ได้รับความเป็นธรรมจากแผนการชำระหนี้คืน จนศาลล้มละลายกลางยกคำร้องแผนฟื้นฟูกิจการดังกล่าว เนื่องจากจะทำให้นักลงทุนรายย่อยได้รับความเสียหาย และไม่ได้รับความเป็นธรรม ความยุติธรรม และถูกเอาเปรียบมาโดยตลอด ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนรายย่อยมีความหวังว่าจะได้รับเงินจากการลงทุนซื้อหุ้นกู้คืนจาก ACAP หลังจากคดีความยืดเยื้อมานานกว่า 5 ปี

ทั้งนี้ กลุ่มตัวแทนนักลงทุนกว่า 100 คน จากหลายพันคนที่ลงทุนในหุ้นกู้ ACAP มาเป็นเวลากว่า 5 ปี โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมายังไม่ได้รับการชำระหนี้คืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย มีเพียงบางรายได้รับการขอซื้อหนี้คืน ในอัตราต่ำกว่าเงินลงทุน 60 – 70% จากพวกพ้องและกลุ่มผลประโยชน์จากผู้บริหารของบริษัท ACAP ทั้งในอดีตและปัจจุบันด้วยวิธีการฉ้อฉลและทำให้เข้าใจว่าเป็นราคายุติธรรม มีบางรายที่ได้ตกลงเสียผลประโยชน์เหล่านั้นไป แต่ยังมีนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ยืดหยัดต่อสู้ ฟ้องร้อง แจ้งความเอาผิดต่อบริษัทและผู้บริหารมาโดยตลอด ทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลต. กองบัญชาการสอบสวนกลาง (บช.ก.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ดีเอสไอ และปปง. เกือบทุกหน่วยงานที่สามารถขอความยุติธรรมได้ จนเวลาล่วงเลยมาหลายปียังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด

จนกระทั่งศาลล้มละลายกลาง ได้มีคำสั่งไม่อนุมัติแผนฟื้นฟูกิจการที่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องได้ยื่นขอต่อศาลเพื่อฟื้นฟูกิจการ ที่ใช้ความฉ้อฉลให้พวกพ้องในกลุ่มเข้ารับซื้อหนี้ราคาถูกจากเจ้าหนี้แต่มาเรียกร้องจากบริษัทและพวกพ้องเต็มจำนวน รวมถึงซื้อเสียงโหวตความเป็นเจ้าหนี้เพื่อขอฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้สามารถเล่นแร่แปรธาตุถ่ายโอนทรัพย์สินและผลประโยชน์ไปยังบริษัทในเครือและพวก ซึ่งทำให้เจ้าหนี้และนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากเสียเปรียบ ด้วยวิธีการซับซ้อนฉ้อฉล หากแต่ความยุติธรรมและเมตตาของศาลจากคำสั่งนี้สามารถทำให้ทรัพย์สินและมูลค่าหนี้ของนักลงทุนรายย่อย อาจได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย สร้างความปิติยินดีและเห็นความถูกต้องปรากฏในปัจจุบัน

ดังนั้น กลุ่มนักลงทุนรายย่อยจึงได้รวมตัวกันมายื่นฟ้องต่อศาลด้วยตนเองเพื่อดำเนินคดีกับอดีตผู้บริหาร บริษัท เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ACAP) อดีตกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และพวกในข้อหาโกงเจ้าหนี้ โดยความคาดหวังจากกลุ่มนักลงทุนรายย่อยที่อดทนยืนหยัดในการเฝ้าติดตามและดำเนินการตามกฎหมายร่วมกับ 9Law (นายนครินทร์ วงแหวน) เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและไม่เป็นแบบอย่างกับองค์กรอื่น ๆ ทั้งยังสร้างบรรยากาศในการลงทุนของประเทศและสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนในระบบตรวจสอบ การเร่งรัดติดตาม รวมถึงบทลงโทษในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยต่อไปในอนาคต อีกทั้งหากนักลงทุนท่านใดที่ยังคงได้รับความเดือดร้อนหรือต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตนเองสามารถติดต่อทีมกฎหมาย 9Law

- Advertisement -