พักตัวเพราะเริ่มไร้ปัจจัยบวก

Market Update

ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 349 จุด (-0.77%) เผชิญแรงทำกำไร หลังวันก่อนหน้าปรับขึ้นแรง ประกอบกับนักลงทุนรอดูผลประกอบการ NVIDIA ด้านราคาามันดิบ BRT ปิดบวก 1.58% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน เพราะนักลงทุนคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ จะออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย

Market Outlook

เมื่อวานที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกประจำเดือน ก.ค. พบว่าขยายตัว 11%YoY แต่หากไม่รวมสินค้าเกี่ยวข้องกับน้ำมันและทองคำขยายตัวได้ดี 16.6%YoY โดยช่วง YTD ขยายตัวได้ 14.7%YoY สำหรับสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ ไก่สดแช่เย็น (+9.8%YoY) อาหารสัตว์เลี้ยง +9%YoY น้ำตาลทราย (+36%YoY) และ สินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ (+61%YoY) ผลิตภัณฑ์ยาง (+9.7%YoY) สาเหตุที่การส่งออกขยายตัวได้ กระทรวงพาณิชย์ระบุว่าผู้นำเข้ายังคงเร่งเพื่อปิดความเสี่ยง ประกอบกับรัฐบาลไทยที่สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนว่าจะสามารถบรรลุเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ได้อย่างลุล่วง และมีมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับภาษีของสหรัฐฯ มองเป็นปัจจัยหนุนต่อหุ้น (DELTA TU ITC) สัดส่วนการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ ยังคงเป็นอันดับแรกด้วยสัดส่วน 22% จีน 12.7% และญี่ปุ่น 7% สำหรับสหรัฐฯ เมื่อคืนประกาศยอดขายบ้านมือหนึ่งที่ 6.52 แสนหลังคาเรือน มากกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่ 6.35 แสนหลังคาเรือน แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนเหมือนจะไม่ได้ให้น้ำหนักมากเท่าใดนัก เพราะเห็นการปรับลงของ US Bond Yield บ่งชี้ว่านักลงทุนมองบวกกับถ้อยแถลงของประธาน FED มากกว่า และทำให้เงินบาทแข็งค่ามาอยู่ที่ 32.4 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตามกับตลาดหุ้นไทยยังไม่แน่นอนเกี่ยวกับกระแสเงินทุน เพราะวานนี้เห็นการขายสุทธิออกมาของต่างชาติ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความไม่มั่นใจเกี่ยวกับการเมืองภายในประเทศ ที่รอดูการตัดสินของศาลเกี่ยวกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคนปัจจุบัน และการฟื้นตัวของหุ้นไทยวานนี้ก็ถือว่าน้อยกว่าภูมิภาค ปัจจัยติดตามคืนนี้ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจาก CB Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 96.4

วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1250 – 1270 น่าจะชะลอตัวลงหลังวานนี้ปรับขึ้นแรง ผสานกับตลาดต่างประเทศก็เริ่มทรงตัว (Nikkei -0.5% , DJIA -0.7%) โดย Price In ปัจจัยบวกเจรจาการค้าและลดดอกเบี้ยของ FED , BOT ไปพอสมควรแล้ว ประกอบกับรอดูท่าทีการเมืองภายในประเทศ ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังไม่เพิ่มพอร์ตการลงทุนด้วย Valuation ที่ยังแพง และพื้นฐานไม่โดดเด่น แต่อย่างไรก็ตามระยะสั้นยังเลือก Trading ในกลุ่มการเงิน (MTC SAWAD TIDLOR) อสังหาฯ (AP SPALI) ปัจจัยหนุนจากทิศทางดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) และมองกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) น่าสนใจรอสะสม ด้วยปันผลเด่นและหุ้นไม่แพง แต่ระยะสั้นโดนแรงกดดันจากดอกเบี้ย

หุ้นแนะนำซื้อวันนี้

STECON (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 9.50 บาท)

แนวโน้มผลประกอบการช่วง 2H25 ยังเห็นการเติมโตได้ต่อเนื่องจาก 1H25 ทั้งจากฐาน Back log ที่มีอยู่กว่า 100,000 ล้านบาท และการไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากรถไฟฟ้าลายสีเหลืองและชมพูไตรมาสละกว่า 100 ล้านบาท ขณะที่การเซ็นสัญญางานใหม่มีงานภาคเอกชนที่รอเซ็นอีกกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เป็นไปตามเป้าที่จะมีงาน ใหม่เข้ามาที่ 50,000 ล้านบาท

MTC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 45.00 บาท)

ผลการดำเนินงานใน 2Q25 แข็งแกร่ง กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,65 พันล้านบาท (+14% YoY, +5% QoQ) และ NPL ratio ลดลงหลือ 3.6% แนวโน้มผลการดำเนินงานสิน 2H25 คาดจะขยายตัวต่อเนื่องทั้ง YoY และ HoH หมุนจากสินเชื่อขยายตัว และต้นทุนการเงินลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยลดลง

- Advertisement -