ในตลาดหุ้น ไม่ได้พบบ่อยนัก กับความขัดแย้งระหว่างพี่น้อง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ก่อตั้ง 3 คนพี่น้อง ที่ใช้มาตรา 100 เรียกประชุมผู้ถือหุ้น โดยมี Central Pattana หรือ CPN ที่ถูกมองว่า “เจตนา” ไม่บริสุทธิ์ โดยเฉพาะฐานทุนที่กลุ่ม DUSIT มีไม่เท่ากับ CPN รวมทั้งการรุกของของกลุ่มเซ็นทรัล ค่อนข้างทำได้ดีกว่ากลุ่ม DUSIT หากผู้ถือหุ้นมองเห็นว่า มีเส้นทางที่ดีกว่า อาจจะพลิกโฉม DUSIT ไปได้ไกลกว่านี้หรือเปล่า หรือแค่ “Sibling Rivalry” หรือพี่น้องแย่งอำนาจกันเอง..?

     เรื่องราว “ร้าวลึก” ในเครือดุสิตธานี (DUSIT) เกิดจากความขัดแย้งภายในครอบครัวผู้ก่อตั้ง ที่ลุกลามจนกลายเป็นวิกฤติธุรกิจ โดยเฉพาะระหว่างทายาทพี่น้องสามคน คือ ชนินทธ์ (ลูกชายคนโต), สินี (ลูกสาวคนกลาง) และสุนงค์ (ลูกสาวคนเล็ก) ของ ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้งกลุ่มดุสิตธานี

ชนวนความขัดแย้ง
หลังจากที่ท่านผู้หญิงชนัตถ์เสียชีวิต จุดยืนที่ชัดเจนในการบริหารธุรกิจครอบครัวคือ ชนินทธ์ เป็น “เสาหลัก” ในการดูแล “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” (ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ DUSIT) แต่พี่น้องได้ร่วมกันโหวตเปลี่ยนอำนาจควบคุมภายในบริษัท สกัดสิทธิ์ของชนินทธ์ ทั้งในบริษัทตัวเองและใน DUSIT

ผลกระทบธุรกิจ และการเงิน
วันที่ 25 เมษายน 2568 บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 (แม้งบจะผ่านการตรวจสอบแล้ว) ส่งผลให้ DUSIT ไม่สามารถยื่นงบ Q1/2568 ได้ทันกำหนด และเสี่ยงถูกขึ้นเครื่องหมาย SP จากตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งการไม่เห็นชอบงบการเงิน สะท้อนปัญหาขาดทุนสะสมกว่า 1,254 ล้านบาท และไม่จ่ายปันผลมาเป็นเวลาหลายปี

ประเด็น “คนนอก” และ Central Group
“ชนินทธ์” พยายามชี้ชัดว่า มีการ “แทรกคนจากภายนอก” เข้าไปนั่งเป็นกรรมการ โดยอ้างว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มเซ็นทรัล (Central Group) ซึ่งอาจเป็นการแทรกแซงอำนาจ ควบคุมธุรกิจครอบครัว
Central Pattana (หนึ่งในบริษัทในเครือ Central Group) ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องการควบคุมกิจการ เพียงแค่ ขอใช้สิทธิ์ ที่ถือหุ้นจำนวนหนึ่ง (ประมาณ 17.09%)

ย้อนกลับไป เดิม CPN เคยถือหุ้นสูงถึง 22.93% เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หมายเลข 2 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 โดยซื้อหุ้นมาจากผู้ถือหุ้น 2 คน ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มต้นโครงการ Dusit Central Park ซึ่งยังไม่ได้เดินหน้าไปมากนัก จากนั้นก็ลดสัดส่วนหุ้นลง 5% โดยขายให้กับ “อนันดา” (ANAN) ที่ราคา 12 บาท (สูงกว่าตลาดในขณะนั้น 11.40 บาท) จำนวน 42.50 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562

ประเด็นตรงนี้ อาจมองได้ว่า CPN ให้ความสนใจในเบื้องต้น ถึงได้เจรจาซื้อ “บิ๊กล็อต” 22.93% จาก 2 ผู้ถือหุ้น ทำให้ชนินทธ์ มองได้ว่า “เจตนาไม่บริสุทธิ์” เพราะ DUSIT เอง มีแลนด์แบงก์ขนาดใหญ่ ทั้งที่พัทยา และหัวหิน ที่พร้อมจะพัฒนาในอนาคต ซึ่งทั้ง DUSIT และ CPN ธุรกิจมีความคล้ายคลึงกัน จะแตกต่างกันก็คือ “เงินทุน” เพราะการขยายธุรกิจ ทำแบบค่อยเป็น ค่อยไป

อย่างไรก็ตาม ในฐานะพันธมิตรด้านโครงการ Dusit Central Park และถือหุ้น 17.09% จึงมีสิทธิ์เสนอชื่อกรรมการตามหลักธรรมาภิบาลที่เหมาะสม กับสัดส่วนการถือหุ้น

ANAN ต้องการอะไร
ANAN ซื้อหุ้น 5% ของ DUSIT จาก CPN ที่ราคา 12 บาท/หุ้น รวมมูลค่า 510 ล้านบาท โดยระบุว่า เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ระยะยาว ไม่ใช่เพียงการเก็งกำไรหุ้น เพราะได้เข้าซื้อในราคาพรีเมียม (สูงกว่าตลาด 12%) สะท้อนว่าต้องการเป็นพันธมิตรเชื่อมโยงกับโครงการของ DUSIT และ Central และมองเห็นว่า “Dusit Central Park” โครงการ Mixed-use มูลค่ากว่า 36,700 ล้านบาท (โรงแรมหรู, คอนโด, ออฟฟิศ, และห้างสรรพสินค้า) บนที่ดินดุสิตธานีเดิม มีแกนหลักของโครงการคือ Dusit Thani (ดูแลธุรกิจโรงแรม) + CPN (ดูแลศูนย์การค้า & พื้นที่พาณิชย์)

บทบาทของ ANAN ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้าน การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมในเมือง จะมีส่วนช่วยให้ “เซกเมนต์ที่อยู่อาศัย” ของ Dusit Central Park ได้มาตรฐานสูง และตรงกับความต้องการคนรุ่นใหม่–ชาวต่างชาติที่ทำงานในย่าน CBD ทำให้การถือหุ้นใน DUSIT ของ ANAN เป็นการเชื่อมโยงผลประโยชน์โดยตรง กับความสำเร็จของโครงการ

ถ้ามองเชิงกลยุทธ์ ANAN ถือว่าได้ “บัตรผ่าน” เข้าสู่พันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับทั้ง Dusit และ Central Group ที่ต้องเสริมภาพลักษณ์จาก Developer ที่เน้นคอนโด ไปสู่ Luxury Mixed-use Partner ส่วน DUSIT ก็ได้ผู้เล่นอสังหาฯ ที่มีความเชี่ยวชาญตลาดคอนโดกลางเมือง ช่วยเติมเต็ม ecosystem ของโครงการ Dusit Central Park

ส่วน ANAN เป็น “ผู้ถือหุ้น + เชิงกลยุทธ์” และไม่ได้เข้าไปมีบทบาทควบคุมบอร์ดเหมือน CPN หรือครอบครัวผู้ก่อตั้ง จึงไม่มีประเด็น แต่ถูกมองว่าเป็น “พันธมิตร Minor Strategic Shareholder” มากกว่า เป็นผู้บริหารกิจการ

ถ้อยแถลงจาก “ชนินทธ์” 27 สิงหาคม 68
“ชนินทธ์” ออกแถลงการณ์ต่อสื่อเป็นครั้งแรก โดยยืนยันว่าเขาจะ “ไม่ทิ้งดุสิตธานีไปไหน” และพร้อมต่อสู้ทางกฎหมายหากมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เป็นธรรมต่อองค์กรที่ครอบครัวสร้างมา และยังเตือนว่า หากผ่านมติให้นำ “คนนอก” เข้ามาควบคุม นั่นคือการทำลายหลักอำนาจที่ควรอยู่กับทายาทรุ่นใหม่ของครอบครัวเอง

เปิด..มุมมองเชิงกฎหมาย

สิทธิผู้ถือหุ้นใหญ่
บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ถือหุ้นใหญ่กว่า 50% ใน DUSIT ทำให้มีอำนาจชี้ขาดในหลายการประชุม โดยเฉพาะเรื่องการเลือกบอร์ด และการอนุมัติงบการเงิน การ ไม่อนุมัติงบการเงิน ทั้งๆ ที่ผู้สอบบัญชีตรวจสอบแล้ว ถือเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายบริษัทมหาชนจำกัด แต่ในทางกฎหมายก็อาจถูกตีความว่า “ละเลยต่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อย” (อาจเข้าข่าย ละเมิด fiduciary duty)

การนำคนนอก “เข้าบอร์ด”
หากเป็นการเสนอชื่อโดยผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนถือหุ้น ก็ทำได้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่หากมีการ “จัดการเบื้องหลัง” โดยไม่เปิดเผย อาจเกิดข้อพิพาทเรื่อง conflict of interest ประเด็นนี้จะเป็นคดีแพ่ง/พาณิชย์ได้ ถ้าฝ่ายใดเห็นว่าอีกฝ่ายใช้อำนาจขัดต่อเจตนารมณ์ของครอบครัวผู้ก่อตั้ง

เส้นทางศาล
หากชนินทธ์ ยื่นฟ้อง อาจเป็นไปได้ใน 2 ช่องทาง คือ “ฟ้อง” ผู้ถือหุ้นใหญ่/บอร์ด เรื่องใช้อำนาจไม่สุจริต และ “ฟ้อง” ตลาดหลักทรัพย์ / ก.ล.ต. ให้ตรวจสอบเรื่องธรรมาภิบาล

มุมมองตลาดหุ้น
ความเสี่ยง Governance นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มักกังวลบริษัทที่มี family conflict เพราะทำให้ความโปร่งใสลดลง ส่งผลลบต่อราคาหุ้น (governance discount) รวมทั้ง DUSIT มีปัญหาไม่สามารถยื่นงบ Q1/2568 ได้ทัน มีความเสี่ยงถูกขึ้นเครื่องหมาย SP (suspension) ซึ่งกระทบสภาพคล่องการซื้อขาย

ผลต่อ Valuation
DUSIT เดิมก็มีผลประกอบการขาดทุนสะสม (กว่า 1,200 ล้านบาท) และยังไม่สามารถจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น ความไม่ชัดเจนครั้งนี้ อาจทำให้โครงการใหญ่ ๆ เช่น Dusit Central Park (ร่วมกับ Central Group) ถูกจับตาว่าอาจมีปัญหาความต่อเนื่องในการพัฒนา ซึ่งนักลงทุนสถาบันจะ “ให้ส่วนลด” (discount rate) สูงขึ้นกับ DUSIT เพราะ governance risk

มุมมอง ประสบการณ์ธุรกิจครอบครัว
ปัญหา classic ของธุรกิจครอบครัว เมื่อก่อตั้งโดยรุ่นพ่อแม่ และมีการบริหารแบบรวมศูนย์ พอเข้าสู่รุ่นลูก หลายคนมีมุมมองต่างกัน (เช่น การขยายกิจการ, การเงิน, หรือการร่วมมือกับพันธมิตร) การไม่ตกลงกัน ก็ทำให้เกิด Sibling Rivalry (พี่น้องแย่งอำนาจ)

กรณีศึกษาในไทย
ไม่ต่างจากหลายครอบครัวธุรกิจใหญ่ เช่น เครือเซ็นทรัล, เครือซีพี, เครือเจริญโภคภัณฑ์อาหาร ซึ่งทุกครอบครัวจะมี “Family Constitution” (ธรรมนูญครอบครัว) เพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้ กรณี DUSIT เป็นบทเรียนว่า ถ้าไม่มี Family Governance ที่ชัดเจน สุดท้ายเรื่องส่วนตัวกลายเป็นปัญหาสาธารณะ กระทบพนักงาน นักลงทุน และคู่ค้า

ข้อสรุป
เชิงกฎหมาย → ฝ่ายชนินทธ์อาจมีช่องใช้สิทธิ์ฟ้องร้อง หากเห็นว่าทำโดยไม่สุจริต
เชิงตลาดทุน → หุ้น DUSIT จะถูกกดดันต่อเนื่อง จนกว่าจะเคลียร์ปัญหาผู้ถือหุ้นใหญ่ และยื่นงบได้
เชิงธุรกิจครอบครัว → นี่คือ case study ที่ชัดเจน ว่าธุรกิจครอบครัวที่ไม่มี “ระบบ” สืบทอดที่โปร่งใส จะเสี่ยงพังจากภายในมากกว่าปัจจัยภายนอก

ธณพงศ์ มีทอง
Makemoneyinsight
#dusit #CPN #Central #anan #DusitCentralPark

- Advertisement -