Daily Focus: เลือกนายกฯ หรือยุบสภา?
ตลาดหุ้นวานนี้: SET Index แกว่งตัว Sideways to Sideways Up โดยดัชนีปิดบวกอีกเล็กน้อย 4.30 จุด ที่ระดับ 1,248.78 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ยังไม่สูงราว 3.4 หมื่นลบ. ภาพรวมดัชนียังปรับตัวขึ้นได้จำกัดเนื่องจากยังคงรอความชัดเจนในการเลือกนายกฯคนใหม่ กลุ่มที่ปรับตัวดีกว่าตลาดอย่างชัดเจน คือ ไฟแนนซ์และค้าปลีก สถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้นหนาแน่น 1.9 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติพลิกมาขายสุทธิ 752 ลบ. (และ Short สุทธิ Index Futures ราว 5 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : ภาพรวมการเคลื่อนไหวของ SET Index คาดว่าขึ้นอยู่กับความชัดเจนทางการเมือง ว่าพรรคประชาชนจะมีมติเลือกคุณอนุทินเป็นนายกฯคนที่ 32 และพรรคเพื่อไทยจะดำเนินกระบวนการยุบสภาหรือไม่ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,230-1,260 จุด เรามองว่าหากท้ายที่สุดเกิดการยุบสภา อาจทำให้ดัชนีชะลอตัวระยะสั้น ก่อนทยอยแกว่งฟื้นตัวช่วงหาเสียงเลือกตั้ง 45-60 วัน หลังยุบสภา แต่ Upside ของดัชนีคาดว่าจะยังคงไม่กว้าง เนื่องจากท้ายที่สุดจะต้องรอผลการเลือกตั้งว่าคะแนนเสียงแต่ละพรรคมีแนวโน้มที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างราบรื่นหรือไม่ ส่วนด้านงบประมาณปี 69 ล่าสุดวุฒิสภาฯ เห็นชอบแล้ว ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง ส่วนปัจจัยต่างประเทศ ตลาดยังคงรอติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯปลายสัปดาห์ จะเป็นอีกปัจจัยชี้นำให้ตลาดประเมินโอกาสและความเร็วในการปรับลดดอกเบี้ยของ FED โดยหากออกมาใกล้เคียงคาดหรือชะลอเล็กน้อย คาดตลาดจะมองค่อนไปในเชิงบวกและยังสนับสนุนการลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่หากออกมาต่ำกว่าคาดอย่างมีนัยยะ (ตลาดคาดราว 7-8 หมื่นตำแหน่ง) มีโอกาสที่อาจทำให้ตลาด Risk Off โดยรวมเราประเมิน Upside ของดัชนีปีนี้ยังไม่กว้างเทียบกับ SET target 1,290 จุด กลุ่ม Domestic Play ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสินค้าจำเป็น มีโอกาสได้อานิสงส์จากการหาเสียงเลือกตั้ง และได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง เช่น ไฟแนนซ์ ค้าปลีก อสังหาฯ โรงไฟฟ้า เทคโนโลยี REIT เป็นต้น คาดว่าจะปรับตัวได้ดีกว่าตลาด
กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 2H25 ที่ยังแข็งแรงท่ามกลางการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอ
หุ้นเด่นเดือน ก.ย. : CPN, ICHI, MTC, STECON, SYNEX
FSSIA Portfolio : BA, BDMS, CENTEL, CPALL, ICHI, KBANK, MTC, STECON
หุ้นเด่น Finansia 3 ก.ย. 25 : SYNEX
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 14.50 บาท
- โมเมนตัมการเติบโต y-y ใน 2H25 คาดว่ายังใกล้เคียงกับ 1H25 ที่ +17% y-y หนุนจากการเปิดตัวสินค้า IT ต่อเนื่องทั้ง iOS และ Android ด้าน Nintendo Switch 2 อาจมีชะลอตัวบ้างในเดือน มิ.ย. แต่คาดกลับมาดีขึ้นหลังได้ Supply Lot ใหม่ใหม่ในเดือน ก.ย. และมียอดขายเกมส์มากขึ้น
- ยังคงมุมมองกำไร 3Q25 ยังทำ New High ได้ต่อเนื่อง ส่วน Apple ประกาศวันเปิดตัวสินค้าใหม่ 9 ก.ย. 25 หากกระแสตอบรับ ดี คาดจะเป็นอีกหนึ่ง Sentiment หนุน คาดกำไรปี 2025-27 เติบโตเฉลี่ย 11% CAGR คู่กับวัฏจักรการเติบโตของอุตสาหกรรม IT
- แนวรับ 11.60 บาท แนวต้าน 12.50-12.80 บาท
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติพลิกกลับมาไหลเข้าภูมิภาคสุทธิ US$421 ล้าน หลังจากไหลออกติดต่อกัน 5 วันก่อนหน้า โดยเม็ดเงินกลับมาไหลเข้าเกาหลีใต้และไต้หวัน US$344 ล้านและ US$127 ล้าน ตามลำดับ ส่วนอาเซียนยังไหลออกทุกประเทศ นำโดยไทยและอินโดนีเซีย ประเทศละ US$20-23 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าจะชะลอการไหลเข้าจาก Bond Yield ที่ขยับขึ้น ตลาดยังติดตามพัฒนาการคดีทรัมป์ ใช้อำนาจเกินขอบเขตเก็บภาษีการค้า และรอติดตามตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯปลายสัปดาห์นี้
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) กลุ่มค้าปลีก IT แม้เศรษฐกิจไทยชะลอในครึ่งหลังปี 2025 แต่ความต้องการสินค้าไอทียังแข็งแกร่ง หนุนจากรอบเปลี่ยนเครื่องการใช้งาน, เทคโนโลยีใหม่ และการเข้าถึงผ่านสินเชื่อ คาดกำไรกลุ่มโตเฉลี่ย 11.6% CAGR ในปี 2025–27 ปัจจุบันหุ้นกลุ่ม IT เทรดที่ P/E 14–15x ต่ำกว่ากลุ่ม staples และ home-related ทั้งที่มีแนวโน้มกำไรดีกว่า ปี 2025 คาด COM7 และ SYNEX โต 21% และ 14% y-y ตามลำดับ ขณะที่ราคาหุ้นยัง underperform เมื่อเทียบกับพื้นฐาน เราคงมุมมอง Overweight โดยเลือก SYNEX (ราคาเป้าหมาย 14.5 บาท) เป็น Top Pick จาก valuation discount และ growth profile ที่แข็งแรง เราเลือก SYNEX เป็น Top Pick
(+) COM7 ผู้นำค้าปลีกสินค้าไอทีของไทย ด้วย Operating leverage แข็งแกร่ง และเดินหน้าหาโอกาสเติบโตใหม่ต่อเนื่อง คาดกำไรปี 2025 โต 21% y-y มองระดับราคาปัจจุบันน่าสนใจ ด้วยเหตุผลหลักคือ P/E ปี 2025 เพียง 15x หรือ -0.5SD จากค่าเฉลี่ย 5 ปี PEG ratio เพียง 0.73 และ ROE สูงสุดในกลุ่มค้าปลีกไทยที่ 41% พร้อม Dividend yield คาด 3.7% ราคาเป้าหมายใหม่ 28.50 บาท อิง 17x P/E ปี 2025 ของค่าเฉลี่ยของ Apple และร้านค้าปลีก IT โลก ยังแนะนำ “ซื้อ”
(0) JPARK คาดจำนวนช่องจอดสิ้นปี 2025 อยู่ที่ 4 หมื่นช่อง แต่ปี 2026 อยู่ที่ 3.6 หมื่นช่องจอด เนื่องจากหมดสัญญาบริหารที่จอดรถ One Bangkok 8,000 ช่อง แต่ได้งานบริการที่จอดรถ รพ. ศิริราช 3,000 ช่อง บวกกับอาคารจอดรถใหม่อีก 1,000 ช่อง ปรับลดคาดการณ์กำไรปกติปี 2025-27 ลง 10-12% เป็นกำไรปกติปี 2025 -3% y-y และจะฟื้นตัว 16% y-y ในปี 2026 จากโครงการที่จอดรถศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ราคาเป้าหมายใหม่ 4.60 บาท ราคาหุ้นลงลึก Upside กว้าง ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ”
(0) NSL ระยะสั้นคาด 3Q25 ชะลอตัว แต่แนวโน้มระยะยาวยังเป็นบวก บริษัทยังคงเป้ารายได้ปี 2025 เติบโต 15-20% y-y และจะโตต่อเนื่อง 10-15% ต่อปีในอีก 3-5 ข้างหน้า โดยการเติบโตหลักๆ จะมาจากการขายสินค้าผ่าน 7-Eleven และการส่งออก แม้เผชิญ tariff 19% (เพิ่มจาก 10%) แต่ลูกค้าใน US รับภาระทั้งหมด ขณะที่แข่งขันไม่กระทบเพราะคู่แข่งเจอภาษีใกล้เคียงกัน โดยยอดส่งออก 3Q25 ยังเป็นขาขึ้น และคาด 2H25 จะดีกว่า 1H25 เราคาดกำไรสุทธิ 3Q25 อยู่ที่ 150-155 ลบ. ชะลอตัว q-q แต่ยังเติบโต y-y และคาดกำไรจะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งใน 4Q25 จาก High season ของธุรกิจ ราคาเป้าหมาย 45 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 249.07 จุด หรือ -0.55%, ปิดที่ 45,295.81 จุด เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่ามาตรการภาษี
ส่วนใหญ่ของ ปธน.ทรัมป์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(-) ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลง โดยอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน หลังเผชิญแรงขายจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับแรงกดดันด้านการคลังของประเทศทั่วโลก
(-) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดลบเป็นส่วนใหญ่ คาดส่งผลจากทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ อีกทั้งยังกังวลเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้น
(+) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย โดยขยับมาอยู่ที่บริเวณ 32.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ -0.09%
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 1.58 ดอลลาร์ หรือ +2.47% ปิดที่ 65.59 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการคว่ำบาตรที่มุ่งเป้าไปที่รายได้จากน้ำมันของอิหร่าน ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ในวันอาทิตย์นี้ ในขณะที่เช้านี้ยังอยู่ที่ระดับ 65.59 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.00%
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 76.10 ดอลลาร์ หรือ +2.16% ปิดที่ 3,592.20 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำอย่างคึกคักท่ามกลางความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจยังเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 3,609.1 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ +0.47%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 990.56 / +1.32%
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
3 ก.ย. | สหรัฐ: JOLT’s Job Openings |
4 ก.ย. | สหรัฐ: ISM Services Business Activity (ส.ค.) ไทย: เงินเฟ้อ (ส.ค.), เปิดประชุมสภานัดพิเศษเพื่อเลือกนายกคนที่ 32 (4-5 ส.ค) |
5 ก.ย. | สหรัฐ: Non-Farm Payroll, // อังกฤษ: ค้าปลีก (ส.ค.) |
8 ก.ย. | จีน: ส่งออก (ส.ค.) |
10 ก.ย. | สหรัฐ: PPI (ส.ค.) // จีน: เงินเฟ้อ (ส.ค.) |