บอร์ด CRC อนุมัติดีลขายห้าง Rinascente รับเงิน 14,700 ล้านบาท ทำกำไรประมาณ 6 พันล้านบาท ตอกย้ำกลยุทธ์รุกตลาดในไทย เวียดนาม และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ได้รับข้อเสนอจาก บริษัท ห้างเซ็นทรัล ดีพาทเมนท์สโตร์ จำกัด (HCDS หรือ Central Group) ขอเสนอซื้อห้างสรรพสินค้า Rinascente ในประเทศอิตาลี โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ซึ่งประกอบไปด้วยกรรมการที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้พิจารณาข้อเสนอนี้เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 และมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการ
นายปเนต มหรรฆานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การตัดสินใจขายธุรกิจในอิตาลีสอดคล้องกับนโยบายและกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เซ็นทรัล รีเทล ได้เคยประกาศไว้ ในการปรับพอร์ตธุรกิจของ CRC โดยมุ่งเน้นการขยายธุรกิจในตลาดหลัก คือ ประเทศไทยและเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญและมีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยบริษัทมีแผนที่จะลงทุนและขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยังเปิดโอกาสให้นำเงินที่ได้รับจากการขายครั้งนี้ไปเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับบริษัท รวมถึงการทำ M&A (Mergers and Acquisitions) เพื่อมาเสริมตลาดหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต ที่ผ่านมาบริษัทได้รับโอกาสพิจารณาการลงทุนเพิ่มในยุโรปหลายครั้ง แต่เนื่องจากต้องใช้เงินทุนสูง ซึ่งจะไปดึงเงินลงทุนจากตลาดหลักในประเทศไทยและเวียดนาม จึงตัดสินใจไม่เข้าลงทุน ทั้งนี้ข้อเสนอซื้อห้างสรรพสินค้า Rinascente จากกลุ่มเซ็นทรัล ถือเป็นโอกาสที่ดีของเซ็นทรัล รีเทล ในการขาย Non-Strategic Operating Asset ในราคาที่เหมาะสม โดยมีมูลค่ารวมประมาณ 14.7 พันล้านบาท/1 โดยเงินที่ได้รับจะนำไปบริหารจัดการในการสร้างการเติบโต และเสริมแกร่งสถานะทางการเงินของบริษัท นอกจากนี้ในเบื้องต้น CRC มีแผนพิจารณานำเงินส่วนที่เหลือ 7.7 พันล้านบาท/1 ไปจ่ายเป็นเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น คิดเป็น 1.28 บาทต่อหุ้น โดยการขายครั้งนี้ CRC คาดว่าจะได้กำไรหลังหักภาษีประมาณ 6 พันล้านบาท
นอกจากเหตุผลข้างต้น ธุรกรรมดังกล่าวยังเป็นประโยชน์ต่อ CRC ดังนี้
- CRC สามารถรับรู้ผลตอบแทนเป็นเงินสดจากการลงทุนใน Rinascente ได้ทันทีในราคาขายที่เหมาะสม โดยไม่ต้องรอเงินปันผลในอนาคต โดยมีอัตราส่วน P/E ที่ประมาณ 14.4 เท่า/2 และ EV/EBITDA ที่ประมาณ 7.8 เท่า/2 สูงกว่าบริษัทที่ประกอบธุรกิจค้าปลีกในยุโรปและในประเทศที่พัฒนาแล้ว และสอดคล้องกับมูลค่าที่ฝ่ายจัดการร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงินประเมินด้วยวิธี DCF: Discounted Cash Flow (การประเมินมูลค่าบริษัทด้วยกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต)
- CRC ได้ราคาขายสูงกว่าต้นทุนที่บริษัทเข้าลงทุนในปี 2018 อย่างมาก คิดเป็นกำไรหลังหักภาษีประมาณ 6 พันล้านบาท (กำไรสุดท้ายขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนและสินทรัพย์สุทธิของ Rinascente ณ วันที่ธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์)
- เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางฐานะการเงินของ CRC ด้วยการนำเงินสดไปคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ทำให้ภาระหนี้สินของบริษัทลดลงประมาณ 5.3 พันล้านบาท
- ธุรกรรมนี้จะทำให้ CRC สามารถจ่ายปันผลสูงถึง 7.7 พันล้านบาท คิดเป็น 1.28 บาทต่อหุ้น (จ่ายครั้งแรกจำนวนประมาณ 4.2 พันล้านบาท ภายหลังจากที่ CRC ได้รับเงินสดสุทธิจากธุรกรรม (คาดว่าภายในปี 2568 นี้) และครั้งที่สองจำนวนประมาณ 3.5 พันล้านบาท พร้อมกับการจ่ายเงินปันผลประจำปีจากผลการดำเนินงานปี 2568) โดยจำนวนเงินดังกล่าวเป็นแผนพิจารณาในเบื้องต้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ และ/หรือที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาต่อไป ภายหลังจากที่ CRC ได้รับเงินสดสุทธิจากธุรกรรมในครั้งนี้
- ช่วยลดภาระและความเสี่ยงของ CRC ในการดูแล ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ ในอิตาลี ที่มีความแตกต่างจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างมาก รวมถึงลดสัดส่วนรายได้ของ CRC ที่ถูกเก็บภาษีสูงในอัตรา Effective Tax Rate ประมาณ 30% เทียบกับ CRC ที่เสียภาษีในอัตรา Effective Tax Rate ประมาณ 23%
- ภายหลังจากธุรกรรมนี้ CRC จะยังคงสามารถรับประโยชน์จากการร่วมมือทางธุรกิจกับ Rinascente ได้เหมือนเดิม
“ทั้งนี้ธุรกรรมดังกล่าวจะต้องถูกนำเสนอต่อผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาอนุมัติในวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน 2568 โดย CRC ได้มีการแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) เพื่อให้ความเห็นอิสระเกี่ยวกับการเข้าทำธุรกรรม และความเป็นธรรมของธุรกรรม ซึ่งจะนำเสนอต่อผู้ถือหุ้นเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในวันดังกล่าวต่อไป” นายปเนต กล่าวปิดท้าย
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์
P/E and EV/EBITDA สำหรับช่วงสิบสองเดือนที่ผ่านมา P/E คำนวณจาก Adjusted Net Profit ซึ่งรวมผลกระทบจากค่าเสื่อมราคาของสิทธิการใช้ทรัพย์สิน (ROU) ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นและดอกเบี้ยจ่ายจากหนี้สินตามสัญญาเช่าที่ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสำหรับปี 2026 ประมาณ 5 ล้านยูโร (หลังหักภาษี) หรือราว 190 ล้านบาท อันเกิดจากการต่อสัญญาเช่า 2 สาขา ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568