KS Daily View 01.10.2025 >>> กลยุทธ์เน้น domestic play หลัง ครม.เห็นชอบ คนละครึ่งพลัส คาด SET วันนี้ กรอบ 1,265-1,290 จุด แนะนำ CPALL และ AEONTS

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.41%, Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 0.31%, และ Dow Jones เพิ่มขึ้น 0.18% แม้ว่านักลงทุนจะยังคงกังวลเกี่ยวกับการปิดรัฐบาลของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้รายงานเศรษฐกิจสำคัญล่าช้าและส่งผลกระทบต่อมุมมองนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ

ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,274.17 จุด ลดลง 13.90 จุด (-1.08%) จากการปรับตัวลงของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มพลังงาน, และกลุ่มท่องเที่ยว ในวันนี้ เราคาด SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,265-1,290 จุด หนุนโดยกลุ่ม domestic play ที่ได้ประโยชน์ของมาตรการ “คนละครึ่งพลัส” จำนวน 22,780 ล้านบาทที่ได้รับการเห็นชอบจากการประชุมครม. ครั้งแรก ซึ่งอาจส่งภาพเชิงบวกกับกลุ่มค้าปลีก และ กลุ่มการเงินเล็กน้อย อีกทั้ง ธปท. ได้ประเมินว่าโครงการดังกล่าวจะมีผลต่อ GDP ราว 0.2% และช่วยเสริมความเชื่อมั่นในธุรกิจและผู้บริโภค ในขณะเดียวกันอาจเห็นกลุ่ม Global play อย่างกลุ่มพลังงานที่อาจถูกกดดันต่อเนื่องจากวันที่ผ่านมา หลังราคาน้ำมันปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ด้วยความกังวล supply ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในส่วนของ OPEC จะมีการประชุมในวันที่ 5 ต.ค. นี้ เกี่ยวกับการปรับกำลังการผลิตในเดือน พ.ย. ในส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่าง CPALL และ AEONTS ที่ได้รับประโยชน์ทางอ้อม

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1)หลังการประชุม ครม. นัดแรกมีมติเห็นชอบใช้งบกลางปี 2025 จำนวน 22,780 ล้านบาท ดำเนินโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ผู้มีสิทธิ 13.4 ล้านคน รวม 1,700 บาท แบ่งจ่าย 2 ครั้ง คือ พ.ย. และ ธ.ค. ครั้งละ 850 บาท (รวมกับเงินเดิม 300 บาทต่อเดือน เป็น 1,150 บาทต่อเดือน) มองเป็นบวกกับ CPALL CPAXT BJC

2)จากแหล่งข่าวประชาชาติธุรกิจได้เปิดเผยว่า โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงโครงการ “คนละครึ่งพลัส” และการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะมีผลต่อ GDP ราว 0.2% และช่วยเสริมความเชื่อมั่นในธุรกิจและผู้บริโภค

3)นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 9 ล้านล้านบาท แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เต็มที่ ต่างจากกว่า 90 ประเทศที่นำทุนสำรองส่วนเกินมาจัดตั้งเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ เช่น สิงคโปร์ที่มีการจัดตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ของโลก โดยมีมูลค่าสินทรัพย์เทียบเท่ากับ 146% ของจีดีพี มองเป็นจิตวิทยาการลงทุนเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย

4)OPEC+ กำลังพิจารณาเพิ่มการผลิตน้ำมันในเดือนพฤศจิกายนโดยอาจเพิ่มการผลิตจากเดิม 137,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนตุลาคมเป็น 274,000-411,000 บาร์เรลต่อวัน หรืออาจสูงถึง 500,000 บาร์เรลต่อวัน เพื่อกู้คืนส่วนแบ่งตลาดตามที่ซาอุดีอาระเบียต้องการ หนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง 2% ในคืนที่ผ่านมามองเป็นลบกับ PTTEP ในส่วนของกลุ่ม refineries อย่าง TOP SPRC BCP BSRC อาจได้รับผลกระทบเชิงลบหากราคาน้ำมันปรับตัวเป็นขาลงต่อเนื่องอาหนุนให้เกิน inventory loss ใน 4Q25

5)ฟิทช์ เรทติ้งส์ได้ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสากลระยะยาวของ PTT และ PTTEP เป็น “ลบ” จากเดิมที่มี “แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ” หลังจากที่ฟิทช์ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยเป็น “ลบ” ด้วยเหตุผลที่ทั้งสองบริษัทมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับภาครัฐ โดยการปรับแนวโน้มนี้สะท้อนถึงการที่การสนับสนุนจากภาครัฐอาจลดลงหากประเทศไทยมีการปรับลดอันดับเครดิต นอกจากนี้ ฟิทช์ประเมินว่าการสนับสนุนของภาครัฐยังคงสูง เนื่องจากบทบาทสำคัญของ ปตท. ในการบริหารความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ขณะที่สถานะการเงินของ ปตท.สผ. ยังคงแข็งแกร่ง แม้จะมีการใช้จ่ายสูงขึ้นจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นและกระแสเงินสดสุทธิลดลงในระยะสั้น

Daily pick

CPALL : ราคาพื้นฐาน 64.50 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ CPALL จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อย่างโครงการคนละครึ่ง และ คนละครึ่งพลัส ที่จะช่วงหนุนรายได้ใน 4Q25 ในขณะเดียวกันทิศทางการฟื้นตัวของการบริโภคที่ค่อยๆปรับตัวดีขึ้นหลัง BoT รายงาน Private consumption index ในเดือน ส.ค. เติบโตขึ้น 1.9% หลังแตะจุดต่ำสุดในเดือน มิ.ย. ที่ 0.3% YoY อีกทั้ง service sector และ การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นในเดือน ส.ค. ที่อาจเป็นแรงหนุนให้ SSSG ในสาขาท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นใน 3Q25

AEONTS: ราคาพื้นฐาน 135.00 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ AEONTS จากการคาดการณ์การรายงานกำไรใน 2Q26FY ที่ระดับ 836 ล้านบาทเติบโตราว 8% QoQ และ 2% YoY จากการขาย NPL ตามปกติในไตรมาส 2 เราประเมิน credit cost มีโอกาสปรับตัวลดลงในครึ่งปีหลังจากการควบคุม Asset quality ที่เข้มงวดและการปรับ credit scoring ในช่วงก่อนหน้า นอกจากนี้เราคาดการณ์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาลใหม่จะช่วยปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้าได้ พร้อมกันนี้ด้วยระดับ coverage ที่สูงเมื่อเทียบกับในช่วงที่ผ่านมาจะเป็นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับ AEONTS ได้ และเราคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในช่วงเดือนธันวาคมจะส่งผลให้ funding cost ลดลงได้ในอีก 6 เดือนข้างหน้า

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

วันพุธ ติดตามตัวเลขผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของไทย (TH S&P Global Manufacturing PMI) เดือน ก.ย. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 52.7 จุด ต่อด้วย ติดตามรายงานตัวเลขเงินเฟ้อของสหภาพยุโรปครั้งแรก (EU CPI) เดือน ก.ย. โดยตลาดคาดการณ์ที่ +2.2% YoY เร่งตัวจากครั้งก่อนหน้าที่ +2.0% และตัวเลขเงินเฟ้อที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน (EU Core CPI) ตลาดคาดการณ์ที่ +2.3% YoY ทรงตัวจากครั้งก่อนหน้าปิดท้ายด้วย ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตสหรัฐอเมริกา (US ISM Manufacturing PMI) เดือน ก.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 49.0 จุดปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 48.7 จุด

วันพฤหัสบดี ติดตามการรายงานตัวเลขอัตราการว่างงานของสหภาพยุโรป (EU unemployment rate) เดือน ส.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 6.3% ต่อด้วยการรายงานยอดสั่งซื้อสินค้าจากโรงงานในสหรัฐ (US Factory Orders) เดือน ส.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 1.4% MoM เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -1.3% MoM ปิดท้ายด้วยจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดคาดการณ์ที่ 2.25 แสนตำแหน่งเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.18 แสนตำแหน่ง

วันศุกร์ ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่รายงาน การจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm payrolls) เดือน ก.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 0.50 แสนตำแหน่งเร่งตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 0.22 แสนตำแหน่ง ต่อด้วยตัวเลขอัตราการว่างงาน (Unemployment rate) เดือน ก.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 4.3% ทรงตัวจากครั้งก่อนหน้า

- Advertisement -