บล.กสิกรไทย:
Finance Sector ประโยชน์จากนโยบาย VS ตลาดที่อิ่มตัว
- จากสถิติที่เราเห็นในอดีต โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่าง “คนละครึ่ง” น่าจะช่วยควบคุม NPL และลด credit cost ในระยะสั้นสำหรับกลุ่มการเงิน
- เราเชื่อว่าการเติบโตของสินเชื่อจะยังคงไม่ตื่นเต้นในช่วง 2H68-ปี 69 ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงจะลดต้นทุนดอกเบี้ยได้เล็กน้อยตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป
- เราคงมุมมองเป็นกลาง ปรับลดคำแนะนำสำหรับ SAWAD ลงเป็น “ถือ” และยังคงเลือก TIDLOR และ SAK เป็นหุ้นเด่น และเพิ่ม AEONTS ในกลุ่มหุ้นเด่นเช่นกัน
Highlights
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและผลบวกต่อ NPL รัฐบาลมีแผนที่จะนำโครงการ “คนละครึ่ง” (co-payment) กลับมาอีกครั้ง ในเดือน ต.ค. 2568 โดยผู้เสียภาษีจะได้รับเงินอุดหนุน 60:40 (รัฐบาล:ชำระเอง) ขณะที่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐยังคงได้รับเงินอุดหนุน 50:50 ควบคู่ไปกับการบรรเทาภาระค่าครองชีพด้านพลังงาน ค่าเดินทาง และหนี้เกษตรกร มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ระยะสั้น เสริมสร้างสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจฐานราก และสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักของผู้ให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์อย่าง MTC SAWAD TIDLOR SAK และ HENG ขณะที่ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) อย่าง CHASE และ CHAYO น่าจะได้รับประโยชน์จากความสามารถในการชำระหนี้ที่ดีขึ้นของผู้กู้ที่ไม่มีหลักประกัน ขณะที่ BAM เองน่าจะได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากพอร์ตสินเชื่อหนี้เสีย (NPL) ที่มีหลักประกัน
- ผลในอดีตของโครงการคนละครึ่ง ในปี 2563-65 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 5 ระยะ ของโครงการคนละครึ่งมูลค่ารวม 2.2 แสนลบ. ก่อให้เกิดการใช้จ่ายมากกว่า 4 แสนลบ. คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว โดยอัตราส่วนหนี้เสีย (NPL ratio) ของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ ลดลงจาก 1.7% ในไตรมาส 4/2563 เหลือ 1.5% ในไตรมาส 4/2564 และ NPL ของสินเชื่อส่วนบุคคลลดลงจาก 3.3% เป็น 2.8% ผลงานที่ผ่านมาดังกล่าวสนับสนุนมุมมองที่ว่าโครงการ “Quick Win” ที่กำลังจะเกิดขึ้นจะช่วยให้ผู้ให้กู้ที่ไม่ใช่ธนาคารสามารถรักษาค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (credit cost) ให้อยู่ในระดับต่ำได้ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า
- การเติบโตของสินเชื่อชะลอตัวลงแม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้จะได้รับการสนับสนุนในระยะสั้น แต่เรามองว่ากลุ่มการเงินกำลังอยู่ในช่วงอิ่มตัว เนื่องจากหนี้ครัวเรือนที่สูงและเศรษฐกิจที่ซบเซา วงเงินสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์คงที่อยู่ประมาณ 52,000 บาทต่อบัญชีเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ขณะที่วงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลลดลงเหลือ 20,000 บาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 จาก 24,000 บาทในปี 2566 ข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงให้เห็นการเติบโตของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ชะลอตัวลงเหลือ 11% ในปี 2567 และเพียง 2% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เทียบกับ 36-37% ในปี 2565-66 สินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิตคาดว่าจะขยายตัวเพียง 1-3% ต่อปี โดยสินเชื่อรถบรรทุกน่าจะชะลอตัวลงอีก
- การผ่อนคลายนโยบายการเงินและแนวโน้มกำไร อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงน่าจะเป็นแรงหนุนได้เล็กน้อย โดย ธปท.ได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 1.50% และเราคาดจะลดลงอีกเป็น 1.25% ภายในสิ้นปี ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงิน เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรของกลุ่มธุรกิจนี้เล็กน้อย (1-3% สำหรับบริษัทส่วนใหญ่ และมากกว่า 10% สำหรับ ASK) ผู้ให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ยังคงเป็นกลุ่มที่โดดเด่น โดยคาดว่าการเติบโตของกำไรจะอยู่ที่ 14% และ 13% ในปี 2569-70 ขณะที่ผู้ให้บริการบัตรเครดิตคาดว่าจะเติบโตในระดับปานกลาง และ AMC ต้องเผชิญกับแนวโน้มการเติบโตที่อ่อนแอ
มุมมอง KS
- มุมมองที่เป็นกลางต่อกลุ่มการเงิน โดยเห็นกำไรส่วนเพิ่มเพียงเล็กน้อยจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการเติบโตแบบ selective growth ของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ที่มีคุณภาพสินทรัพย์แข็งแกร่งกว่า ผู้ให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์และบัตรเครดิตน่าจะทำผลงานได้ดีกว่า AMC และสินเชื่อรถบรรทุกในปี 2569 แต่การเติบโตยังคงจำกัด เนื่องจากบริษัทต่างๆ ยังคงระมัดระวังท่ามกลางหนี้ครัวเรือนที่สูง เรามองว่าราคาหุ้นสะท้อนประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปบ้างแล้ว
- เราจึงปรับลดคำแนะนำสำหรับ SAWAD จาก “ซื้อ” เป็น “ถือ” เรายังคงเลือก TIDLOR และ SAK เป็นหุ้นเด่น และเพิ่ม AEONTS เข้าไปในกลุ่มหุ้นเด่นด้วยในรอบนี้ เนื่องจากมูลค่าหุ้นที่ยังคง Laggard แต่มีแนวโน้มการฟื้นตัวของกำไรที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในครึ่งหลังปี 2568