KS Daily View 17 ต.ค. 2025>>> คาด SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,280-1,300 จุด หลังตลาดเริ่มรับรู้ปัจจัยบวกบวกในประเทศไปมากแล้ว ในขณะเดียวกัน SET index มีโอกาสที่จะไปทดสอบแนวต้านเชิงจิตวิทยาที่ 1,300 จุดที่มักเผชิญกับแรงขาย แนะนำ PTTEP และ BEM
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ดัชนี S&P500 ลดลง 0.63%, Nasdaq Composite ลดลง 0.47%,และ Dow Jones ลดลง 0.65% จากความกังวลในกลุ่มธนาคาร หลังหุ้นของ Zions Bancorporation ร่วงลงถึง 13% จากผลขาดทุนที่ไม่คาดคิดจากเงินกู้สองรายการในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเพิ่มความวิตกของนักลงทุนเกี่ยวกับ ความเสี่ยงด้านเครดิตที่อาจซ่อนอยู่ ประกอบกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,291.46 จุดเพิ่มขึ้น +4.77 จุด (+0.37%) จากการปรับตัวเพิ่มของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มโรงพยาบาล, และกลุ่มขนส่ง ในวันนี้ เราคาด SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,280-1,300 จุด หลังตลาดเริ่มรับรู้ปัจจัยบวกบวกในประเทศไปมากแล้ว ในขณะเดียวกัน SET index มีโอกาสที่จะไปทดสอบแนวต้านเชิงจิตวิทยาที่ 1,300 จุดที่มักเผชิญกับแรงขาย ซึ่งอาจเห็นภาพของอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้นตามปัจจัยบวกเฉพาะและแนวโน้มผลประกอบการใน 3Q25 ที่อยู่ในระหว่าง preview season ในส่วนกลยุทธ์การลงทุนยังคงมุ่งเน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะอย่าง PTTEP จากคาด Dividend yield ที่น่าสนใจราว 8% ในปี 2025 และ 2026 ประกอบกับ EIA ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกปี 2025–2026 ขณะที่สต๊อก middle distillate ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี และ BEM มูลค่าหุ้นที่ซื้อขาย PBV ที่ระดับ -2 SD และมีอัพไซด์จากการได้สัญญา O&M รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ในปี 2026
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
- ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประเมินว่า คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารไทยยังอ่อนแอแต่ทรงตัวได้ โดยคาดว่าอัตราหนี้เสีย (NPL) จะขยับขึ้นเป็น 3.7% จากเดิมอยู่ที่ 3.4% ในปีนี้ จากแรงกดดันของลูกหนี้ SME ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังเติบโตต่ำและฟื้นตัวช้า ขณะที่ระบบธนาคารยังคงมีเสถียรภาพโดยรวม มองเป็นจิตวิทยาการลงทุนเชิงลบเล็กน้อยกับกลุ่มธนาคาร
- เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเปิดเผยกับรอยเตอร์เมื่อวันพฤหัสบดีว่า สหรัฐและอินเดียได้จัดการเจรจาการค้าที่มีความคืบหน้าเชิงบวก และขณะนี้โรงกลั่นน้ำมันของอินเดียได้ลดการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียลงแล้วราว 50% มองเป็นจิตวิทยาการลงทุนเชิงบวกกับกลุ่มโรงกลั่นอย่าง TOP SPRC BSRC BCP
- EU ประกาศข้อกำหนดใหม่ให้ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงต้องพิสูจน์ว่าน้ำมันไม่ได้ผลิตจากน้ำมันดิบรัสเซีย ตามมาตรการคว่ำบาตรรอบที่ 18 ที่จะมีผลวันที่ 21 ม.ค. ปีหน้า โดยผู้นำเข้าต้องแสดงหลักฐานต่อศุลกากรของสหภาพยุโรปถึงแหล่งที่มาของน้ำมันดิบที่ใช้กลั่น พร้อมแนะนำให้เพิ่มเงื่อนไขในสัญญากับซัพพลายเออร์เพื่อรับผิดชอบหากพบการใช้น้ำมันรัสเซีย ทั้งนี้ EU เน้นตรวจเข้มการนำเข้าจากประเทศอย่างตุรกี อินเดีย และจีน ซึ่งยังซื้อน้ำมันรัสเซียอยู่ รวมถึงโรงกลั่นที่ผสมน้ำมันจากหลายแหล่ง
- ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายแบรนด์ กาแล็กซี่ รีสอร์ต ประเทศไทย เปิดเผยว่า แม้รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันจะประกาศไม่สนับสนุนการจัดตั้ง เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ในประเทศ บริษัทเข้าใจและเคารพท่าทีดังกล่าว พร้อมยืนยันว่าจะ รอความชัดเจนจากรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งปี 2569 เพื่อประเมินทิศทางความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน
- TEGH จับมือ การยางแห่งประเทศไทยลงนาม MOU ร่วมบริหารจัดการผลผลิตยางพาราให้สมดุลกับความต้องการตลาดในและต่างประเทศ เพื่อสร้าง เสถียรภาพราคายางระยะยาว และผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยางในภูมิภาค ตั้งเป้าผลิตไม่น้อยกว่า 5,000 ตันต่อเดือน ภายใต้สัญญา 5 ปี
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
- PTTEP: ราคาพื้นฐาน 134.00 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ PTTEP จากระดับมูลค่าที่น่าสนใจ ปัจจุบันซื้อขายที่ราว -1SD (2026 PBV 0.8x, PE 7.x) และให้ Dividend yield กว่า 7% หรือราว 8.5 บาท/หุ้น โดยยังมีโอกาสรักษาจ่ายปันผลใกล้ระดับปี 2024 ที่ 9.5 บาท/หุ้น จากฐานะการเงินแข็งแกร่ง (IBD/E เพียง 0.24x ใน 2Q25) และกระแสเงินสดอิสระที่มั่นคง ในเชิงกลยุทธ์ เราคาด PTTEP อาจ Outperform ใน 4Q25 จากแนวโน้มราคาน้ำมันที่มักปรับขึ้น 14–20% ภายใน 3–12 เดือนหลังเฟดเริ่มลดดอกเบี้ย อีกทั้ง IEA, OPEC และ EIA ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกปี 2025–2026 ขณะที่สต๊อก middle distillate ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี และฤดูหนาวจะหนุน GRM เพิ่มแรงหนุนต่อราคาน้ำมัน โดย PTTEP มีสัดส่วนยอดขายจากน้ำมันดิบราว 30% ซึ่งจะได้ประโยชน์โดยตรง
- BEM: ราคาพื้นฐาน 9.75 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ BEM และแนะนำลงทุนระยะยาว จากมูลค่าที่น่าสนใจ (2026 PBV –2SD และ PE –1SD ตั้งแต่ปี 2019) แม้บริษัทจะเข้าสู่รอบลงทุนใหม่ปี 2025–2029 แต่ถือเป็นจังหวะเข้าลงทุนที่เหมาะสมที่สุด โดยตั้งแต่ปี 2030 คาดว่า FCFF จะเป็นบวก 5–7 พันล้านบาท/ปี กำไรสุทธิราว 4.6 พันล้านบาทในปี 2029 และ 6 พันล้านบาทในปี 2030 รองรับการจ่ายปันผล 5–6% ได้ แรงหนุนหลักมาจาก 1) การหมดภาระจ่ายค่าตอบแทนสายสีน้ำเงินปีละ 5 พันล้านบาทในปี 2029 และ 2) การเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออกในปี 2028 และตะวันตกในปี 2030) ซึ่งคาดผู้โดยสารเพิ่มจาก 120,000 เที่ยว/วันในปี 2028 เป็น 262,000 เที่ยว/วันในปี 2030 พร้อมส่งผลบวกต่อสายสีน้ำเงินด้วย ปัจจัยกระตุ้นใกล้คือการอนุมัติโครงการทางด่วนสองชั้น (มูลค่า 3–3.5 หมื่นล้านบาท) ใน 4Q25 ที่คาดว่า BEM จะได้สิทธิบริหาร แลกกับการขยายสัมปทาน FES และ SES ออกไปอีก 20 ปี เพิ่มมูลค่า 1.3–1.5 บาท/หุ้น และยังมีอัพไซด์จากการได้สัญญา O&M รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ในปี 2026 ซึ่งจะเปิดใช้ในปี 2029 ช่วยเสริมการเติบโตระยะยาว
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันศุกร์ ติดตามรายงานตัวเลขเงินเฟ้อของสหภาพยุโรปครั้งสุดท้าย (EU CPI) เดือน ก.ย. โดยตลาดคาดการณ์ที่ +2.2% YoY ทรงตัวจากครั้งก่อนหน้าและตัวเลขเงินเฟ้อที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน (EU Core CPI) ตลาดคาดการณ์ที่ +2.3% YoY ทรงตัวจากครั้งก่อนหน้า ปิดท้ายด้วย การรายงานจำนวนที่อยู่อาศัยเริ่มสร้าง (US Housing Starts) ของสหรัฐ เดือน ก.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 1.320 ล้านหลัง เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 1.307 ล้านหลัง