KS Daily View 29.10.2025 >>> ภาพ SET พักฐานหลังขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะ DELTA ที่สะท้อนภาพงบ 3Q25 ออกมาดีกว่าที่คาด คาด SET วันนี้กรอบ 1,305-1,325 จุด แนะนำ BCP และ BEM

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.23%, Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 0.80%, และ Dow Jones เพิ่มขึ้น 0.34% หลังจากหุ้นของบริษัท Nvidia ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีข่าวว่าจะสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้กับกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ขณะเดียวกันนักลงทุนก็มีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ก่อนที่จะมีการประกาศผลจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในสัปดาห์นี้

ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,314.28 จุดลดลง -9.24 จุด (-0.70%) จากการปรับตัวลดของกลุ่มพลังงาน, กลุ่มสื่อสาร, และกลุ่มค้าปลีก ในวันนี้ เราคาด SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,305-1,325 จุด เป็นภาพของการพักฐาน หลังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะ DELTA ที่สะท้อนภาพผลประกอบการ 3Q25 ที่ออกมาดีกว่าที่คาด ในขณะเดียวกันอาจเห็นการปรับตัวขึ้นของรายอุตสาหกรรมตามปัจจัยบวกเฉพาะ ซึ่งคาดอาจเห็นในกลุ่มโรงกลั่นจากแนวโน้มของ GRM ที่ปรับตัวดีขึ้น และ กลุ่มท่องเที่ยวที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวมีการฟื้นตัวตามฤดูกาลประกอบกับงาน concert ของ brand ใหญ่ ในส่วนกลยุทธ์การลงทุนยังคงมุ่งเน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะอย่าง BCP จากแนวโน้มผลประกอบการ 3Q25 ที่ฟื้นตัว และ GRM ที่ฟื้นตัวหลังสหรัฐฯ คว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซีย หนุน GRM เพิ่มขึ้นลดแรงกดดันจาก feed cost ที่ถูกของโรงกลั่นในอินเดีย และ BEM จากผลประกอบการที่คาดจะแข็งแกร่งใน 3Q25

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน

  1. GULF และ AIS ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับไมโครซอฟท์ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและศูนย์ข้อมูลของประเทศไทย โดยผสานจุดแข็งของ GULF ในธุรกิจพลังงานสะอาดและ AIS ในด้านการสื่อสารโทรคมนาคม เข้ากับเทคโนโลยีคลาวด์และ AI ของไมโครซอฟท์ ความร่วมมือนี้ครอบคลุมการให้บริการศูนย์ข้อมูลคลาวด์ผ่านบริษัท GSA02 ของ GULF เพื่อรองรับมาตรฐานระดับโลกของไมโครซอฟท์ และการพัฒนานวัตกรรม AI
  2. กกท.เปิดเผยนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา (20–26 ต.ค.) รวม 592,196 คน เพิ่มขึ้น 6.37% จากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกลอย่างรัสเซียเพิ่มขึ้นกว่า 31% รวมถึงกลุ่มอินเดียและจีนที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ ที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) และกิจกรรมคอนเสิร์ตระดับนานาชาติ เช่น BLACKPINK WORLD TOUR IN BANGKOK และ CRAZY IN LOVE ZEENUNEW CONCERT มองเป็นบวกกับกลุ่มท่องเที่ยวอย่าง CENTEL AWC ERW BA AAV
  3. กำไรของโรงกลั่นน้ำมันทั่วโลกพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 20 เดือน โดยเฉพาะในเอเชียที่ส่วนต่างการกลั่นในสิงคโปร์แตะเกือบ 9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากแรงหนุนของตลาดดีเซลที่แข็งแกร่ง หลังสหรัฐฯ คว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรัสเซียรายใหญ่ Rosneft และ Lukoil ทำให้แนวโน้มอุปทานตึงตัวมากขึ้น ราคาดีเซลในยุโรปและสหรัฐฯ ขยับขึ้นสู่ระดับสูงสุดตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2024 มองเป็นบวกกับกลุ่มโรงกลั่นอย่าง TOP SPRC BCP BSRC
  4. ในขณะเดียวกันโรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งของอินเดียได้หยุดสั่งซื้อน้ำมันรัสเซียชั่วคราว หลังสหรัฐฯ คว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซีย โดยบริษัทอย่าง Reliance Industries, Mangalore Refinery (MRPL) และ Bharat Petroleum (BPCL) หันไปหาน้ำมันทางเลือกจากอิรัก หรือ WTI จากสหรัฐฯ แม้ราคาสูงกว่าประมาณ 3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ อินเดียเป็นผู้นำเข้าน้ำมันทางทะเลจากรัสเซียมากที่สุดในโลก คิดเป็นราว 1.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ 40% ของการส่งออกทั้งหมดของรัสเซียในช่วง 9M25 มองเป้นบวกกับกลุ่มโรงกลั่นและ PTTEP
  5. ผู้ว่าการ ธปท. เผยเตรียมออกประกาศใหม่ให้จัดตั้ง “บริษัทร่วมทุนบริหารสินทรัพย์” (JVAMC) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารหนี้ และช่วยลูกหนี้รายย่อยต่ำกว่า 100,000 บาทกว่า 4 ล้านรายกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ขณะ BAM เจรจาแบงก์พาณิชย์รายใหญ่ตั้ง JV AMC เพิ่มดูดซับหนี้ระดับแสนล้านบาท

Daily pick

BCP: ราคาพื้นฐาน 35.50 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกกับ BCP จากแนวโน้มผลประกอบการ 3Q25 คาดที่ 1.9 พันลบ. พลิกจากขาดทุนสุทธิ 2.1 พันลบ. ใน 3Q24 และขาดทุนสุทธิ 2.6 พันลบ. ใน 2Q25 จากการฟื้นตัวของทุกหน่วยธุรกิจ ค่าการกลั่น (GRM) คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 116% YoY และ 38% QoQ สู่ระดับ 7.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล จากส่วนต่างราคาดีเซลที่สูงขึ้น ขณะที่อัตราการกลั่นรวมคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2% YoY และ 10% QoQ สู่ระดับ 265 KBD จากการที่โรงกลั่น BSRC ไม่มีการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ ขณะเดียวกันกำไรใน 4Q25 จะได้แรงหนุนจาก GRM ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นแตะระดับ 9 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล จากอัตราการกลั่นของโรงกลั่น BSRC ที่สูงขึ้น ในส่วนธุรกิจค้าปลีกน้ำมันคาดว่าจะดีขึ้นจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล และอัตรากำไรน้ำมันที่ดีขึ้นในช่วงราคาน้ำมันขาลง

BEM: ราคาพื้นฐาน 9.75 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ BEM และแนะนำลงทุนระยะยาว จากมูลค่าที่น่าสนใจ (2026 PBV –2SD และ PE –1SD ตั้งแต่ปี 2019) แม้บริษัทจะเข้าสู่รอบลงทุนใหม่ปี 2025–2029 แต่ถือเป็นจังหวะเข้าลงทุนที่เหมาะสมที่สุด โดยตั้งแต่ปี 2030 คาดว่า FCFF จะเป็นบวก 5–7 พันล้านบาท/ปี กำไรสุทธิราว 4.6 พันล้านบาทในปี 2029 และ 6 พันล้านบาทในปี 2030 รองรับการจ่ายปันผล 5–6% ได้ แรงหนุนหลักมาจาก 1) การหมดภาระจ่ายค่าตอบแทนสายสีน้ำเงินปีละ 5 พันล้านบาทในปี 2029 และ 2) การเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออกในปี 2028 และตะวันตกในปี 2030) ซึ่งคาดผู้โดยสารเพิ่มจาก 120,000 เที่ยว/วันในปี 2028 เป็น 262,000 เที่ยว/วันในปี 2030 พร้อมส่งผลบวกต่อสายสีน้ำเงินด้วย ปัจจัยกระตุ้นใกล้คือการอนุมัติโครงการทางด่วนสองชั้น (มูลค่า 3–3.5 หมื่นล้านบาท) ใน 4Q25 ที่คาดว่า BEM จะได้สิทธิบริหาร แลกกับการขยายสัมปทาน FES และ SES ออกไปอีก 20 ปี เพิ่มมูลค่า 1.3–1.5 บาท/หุ้น และยังมีอัพไซด์จากการได้สัญญา O&M รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ในปี 2026 ซึ่งจะเปิดใช้ในปี 2029 ช่วยเสริมการเติบโตระยะยาว

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

วันพุธ ติดตามผลการประชุม FOMC โดยตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps จากครั้งก่อนหน้าจาก 4.25% มาอยู่ที่ 4.00%

วันพฤหัสบดี ติดตามผลการประชุมของ BoJ โดยตลาดคาดว่า BoJ จะคงอัตราดอกเบี้ยจากครั้งก่อนหน้าและผลการประชุมอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB interest rate decision) ตลาดคาดการณ์ว่า ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยจากครั้งก่อนหน้า ต่อด้วยการรายงานตัวเลขคาดการณ์ GDP ใน 3Q25 ของโซนยุโรปครั้งแรกตลาดคาดการณ์ที่ +1.2% YoY ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 1.5% YoY ต่อด้วยการรายงานตัวเลขคาดการณ์ GDP ใน 3Q25 ของสหรัฐครั้งแรกตลาดคาดการณ์ที่ +3.0% QoQ ชะลอตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 3.8% QoQ

วันศุกร์ ติดตามดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของจีน (NBS Manufacturing PMI) เดือน ต.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 49.6 จุดชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 49.8 จุด

- Advertisement -