PTECH-W1 พร้อมเทรด 31 .. 68 แจกผู้ถือหุ้นเดิมใช้สิทธิเพิ่มทุนเมื่อส..ที่ผ่านมา ในอัตรา 1 หุ้นสามัญใหม่ ต่อ 1 หน่วย อายุ 3 ปีราคาใช้สิทธิ 4 บาท/หุ้น วันออกใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 .. 2568 จัดสรรรวม 122,435,552 หน่วย รองรับแผนการขยายธุรกิจเดิม เผยธุรกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง 

นายวิเลิศ อรวรรณวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลัส เทค อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PTECH เปิดเผยว่า บริษัทได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 1 (PTECH-W1) จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิมที่ใช้สิทธิเพิ่มทุนให้กับบริษัทเมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมาโดยไม่คิดมูลค่า ในอัตรา 1 หุ้นสามัญใหม่ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ อายุ 3 ปี นับตั้งแต่วันออก (1 ต.ค. 2568 – 29 ก.ย. 2571) ใช้สิทธิแปลงเป็นหุ้นสามัญได้ทุก 3 เดือน ราคาใช้สิทธิ 4 บาท จำนวนจัดสรรแล้ว 122,435,552 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 489,742,208 บาท ซึ่งจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรกวันที่ 31 ต.ค. 2568 

วัตถุประสงค์การออก PTECH-W1 เพื่อรองรับกับแผนขยายธุรกิจเดิมคือผลิตบัตรเครดิต (Visa & MasterCard)  ผลิตบัตรพลาสติกและบัตรประเภทต่างๆ รวมทั้งขยายธุรกิจใหม่รับจ้างผลิตอุปกรณ์ต่างๆ ในอุตสาหกรรมอิเล็กทอรนิกส์ (Electronics Manufacturing Services:EMS) โดยเฉพาะในส่วนของ PCB Assembly และ System Assembly ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจดังกล่าว

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 มีทิศทางปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะธุรกิจผลิตบัตรและระบบบริหารจัดการข้อมูลซึ่งเริ่มฟื้นตัวชัดเจนในช่วงไตรมาส 3/2568 จากการปิดดีลสำคัญกับทั้งหน่วยงานราชการและภาคเอกชนหลายแห่งส่งผลให้ปริมาณงานและรายได้เริ่มกลับมาเติบโตขณะที่ธุรกิจใหม่ของบริษัทเริ่มมีคำสั่งซื้อเข้ามาแล้วคาดว่าจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/2568 เป็นต้นไปซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ภาพรวมรายได้ปีนี้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญและคาดว่าจะมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกในปี 2569

“สัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจหลักและการเริ่มเดินหน้าธุรกิจใหม่ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัทที่จะสร้างการเติบโตในระยะยาวเราเชื่อว่าหากการขยายธุรกิจทั้งสองส่วนเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้จะช่วยเสริมฐานะทางการเงินและเพิ่มสภาพคล่องของบริษัทให้กลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นโดยเฉพาะเงินทุนที่ได้รับจากการแปลงสิทธิ PTECH-W1 ในระยะ 3 ปีข้างหน้าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการต่อยอดการลงทุนสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นและผลักดันให้บริษัทเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต” นายวิเลิศกล่าว 

- Advertisement -