บล.พาย:
TIDLOR: TIDLOR Holding PCL
งบดุลแข็งแกร่ง และเติบโตสูง
เราปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” และปรับมูลค่าพื้นฐานเป็น 24.00 บาท (เดิม 19.70 บาท) เราชอบ TIDLOR (1) งบดุลแข็งแกร่งหนี้เสียทรงตัว และ Coverage ratio สูงรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ (2) การเติบโตที่แข็งแกร่ง คาดเติบโต 13.3% CAGR (2025-27) และ (3) ได้อานิสงค์จากอัตราดอกเบี้ยลดลง ทำให้ NIM แนวโน้มฟื้นตัว เราคาดว่ากำไรสุทธิ 3Q25 จะอยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท (+32% YoY, +1% QQ) หนุนจากการขยายตัวของสินเชื่อ รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจประกันภัยและสำรองหนี้ฯ ลดลงจากการควบคุมคุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้น ขณะที่คาด NPL ratio จะทรงตัวที่ 1.8% และ Coverage ratio สูงที่ 263.7%
คาดกำไรสุทธิใน 3Q25 เติบโต YoY และ QoQ
- คาดกำไรสุทธิงวด 3Q25 ที่ 1.3 พันล้านบาท (+32% YoY, +1% QoQ) กำไรสุทธิเติบโต YoY และ QoQ หนุนจาก (1) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายตัวจากการขยายสินเชื่อ (2) รายได้ค่าธรรมเนียมสูงขึ้น YoY จากธุรกิจนายหน้าประกันภัย (3) สำรองหนี้ฯ ปรับลดลงจากความสามารถในการควบคุมคุณภาพสินเชื่อ โดยคาด Credit cost ที่ 180 bps (-110 bps YoY, +17 bps QoQ) และ (4) การควบคุมค่าใช้จ่ายทำให้ Cost to income ratio ปรับลดลงเหลือ 54.3%
- สินเชื่อแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง 1.1% QoQ ส่วนใหญ่จากสินเชื่อที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อจำนำทะเบียน ทำให้สินเชื่อใน 9M25 เติบโต 3.1% Y TD
- ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ดีขึ้น เพราะได้รับประโยชน์จากที่ TRIS RATING ปรับเพิ่มอันดับเครดิตเป็น A+/Stable และการปรับลด อัตราดอกเบี้ยในประเทศ ทำให้ต้นทุนการเงินลดลงต่อเนื่อง คาด
NIM เพิ่มขึ้น 12 bps QoQ ที่ 15.8% (-19 bps YoY) - บริษัทให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพสินเชื่อ และความสามารถในการติดตามหนี้ที่ดีขึ้น คาดว่า NPL ratio ทรงตัว QoQ ที่ 2.80% เป็นไปตามเป้าหมาย NPL ratio <3% สิ้นปี 2025 และ มี Coverage ratio เพิ่มขึ้น QoQ ที่ 263.7%
การเติบโตกำไรแข็งแกร่งที่ 13.3% CAGR (2025-27)
ผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยลดลงทำให้ NIM ดีกว่าคาดใน 1H25 เราปรับ NIM เพิ่มขึ้น 15/35 bps เป็น 15.7%/16.1% และปรับประมาณการกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 4%/10% ในปี 2025-26 ดังนั้น คาดกำไรสุทธิปี 2025 เติบโต 19% และเติบโต่อเนื่อง 12% ในปี 2026 หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นล้อกับสินเชื่อที่ขยายตัว และรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยเต็บโต ขณะที่สมมติฐาน Credit cost ทรงตัวที่ 180 bps ในปี 2025-26 ลดลงจาก 340 bps ในปี 2024
ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 24 บาท
ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จาก “ถือ” และปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานเป็น 24.00 บาท (เดิม 19.70 บาท) จากการปรับประมาณการกำไรสูงขึ้น และปรับใช้ปีฐานเป็น 2026 คำนวณด้วยวิธี GGM (ROE 15.5%, Terminal growth 5%) อิงจาก 1.8x PBV’26E และ 12.3x PE’26E







