บลูบิค กวาดกำไร 9 เดือน 214 ล้านบาท ขยายตัว 8% มั่นใจ Q4/68 โตโดดเด่น เร่งเครื่องส่งมอบงานพร้อมรับแรงหนุนจากดีมานด์ AI, Cloud Computing และ Virtual Bank
บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ที่ปรึกษาชั้นนำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันระดับองค์กรธุรกิจ (Digital Enterprise Transformation) เปิดเผยผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 214 ล้านบาท เติบโต 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่ 198 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 1,095 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 1,098 ล้านบาท เป็นผลจากการปรับโครงสร้างกลุ่มองค์กรตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยมีการย้ายพนักงานบางส่วนไปเป็นผู้ปฏิบัติการหลักของบริษัทร่วมทุนโดยตรง ทำให้รายได้ในส่วนที่เรียกเก็บจากกลุ่มพนักงาน (Secondment) ลดลง อย่างไรก็ตาม รายได้จากการให้บริการต่อลูกค้าภายนอกยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและต่อเนื่อง ท่ามกลางปัจจัยลบและความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และความไม่แน่นอนทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 73 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.82% (QoQ) ขณะที่รายได้ในส่วนของบริการและขายเพิ่มขึ้น 5% (QoQ) อยู่ที่ 383 ล้านบาท โดยมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 ของบริษัทฯ (รวมแบ็กล็อกของกิจการร่วมทุน) อยู่ที่ 1,005 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้มากกว่า 469 ล้านบาทภายในปีนี้ ประกอบด้วยรายได้จากบริษัทแม่และบริษัทย่อยจำนวน 332 ล้านบาท และจากกิจการร่วมทุนจำนวน 137 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 2569–2573

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีการปรับแผนการดำเนินงานและบริหารจัดการกำลังพล สำหรับการเริ่มดำเนินงานในโครงการที่ถูกเลื่อนจากไตรมาส 3 เป็นไตรมาส 4 นอกจากนี้แผนงานข้างต้นนี้ยังเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับงานใหม่ ๆ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI), Cloud Computing, และ Virtual Bank เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายของปีเติบโตโดดเด่นตามเป้าหมายที่วางไว้
“การเปลี่ยนผ่านของธุรกิจสู่ยุคดิจิทัลยังอยู่ในช่วงขาขึ้น นอกจากกระแส AI ที่ยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญอย่างนโยบาย Cloud First Policy และ Virtual Bank ที่จะเริ่มต้นในปี 2569 เป็นตัวหนุนให้การปรับใช้เทคโนโลยีในประเทศขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยสัญญาณบวกของเม็ดเงินลงทุนเริ่มทยอยเข้ามาในอุตสาหกรรมตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้ และคาดว่าจะต่อเนื่องยาวไปถึงปี 2571 อีกทั้งการลงทุนจากต่างประเทศในธุรกิจ Data Center และบริการ Cloud Computing ยังเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้การใช้จ่ายเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีและความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในไทยเติบโตต่อเนื่อง” นายพชรกล่าว
ตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมา บลูบิคเติบโตควบคู่กับความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน คือ ความเชื่อมั่นในศักยภาพของบุคลากรและเทคโนโลยีที่สร้างคุณค่าได้จริง ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญกับ การพัฒนาองค์กรให้แข็งแกร่ง ขยายโอกาสให้กับพนักงาน สร้างผลตอบแทนที่มั่นคงให้กับผู้ถือหุ้น และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน และบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าผลประกอบการในปี 2568 จะสามารถเติบโตและทำสถิติใหม่ได้อีกครั้ง” นายพชร กล่าวปิดท้าย









