MFC เปิดตัวกองทุน “M-HD” IPO 21-27 . นี้ โฟกัสหุ้นไทยปันผลสูงเติบโตระยะยาวแข็งแกร่งรับมือทุกสภาวะตลาด

บลจ.เอ็มเอฟซี เปิดตัวกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เซ็ท ไฮ ดิวิเดนด์ หุ้นทุน” (M-HD) เพิ่มทางเลือกลงทุนหุ้นปันผลไทยราคายังไม่แพง อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง โอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาว พร้อมรับมือความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายเฟด ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ มองแนวโน้มหุ้นไทยปี 69 ฟื้นตัวต่อเนื่อง เปิดขาย IPO 21-27 . 68

นายธนโชติรุ่งสิทธิวัฒน์กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็มเอฟซีจำกัด (มหาชน) หรือบลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการกองทุนคุณภาพทั้งในและต่างประเทศเปิดเผยว่าบลจ.เอ็มเอฟซีนำเสนอ “กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีเซ็ทไฮดิวิเดนด์หุ้นทุน” หรือ “M-HD” มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจะพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีผลตอบแทนรวม SET High Dividend 30 (SETHD TRI) เป็นหลัก โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV เปิดเสนอขาย IPO ครั้งแรกระหว่างวันที่ 21-27 พ.ย. 68  เงินลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 1,000 บาท 

สำหรับดัชนี SETHD TRI รวบรวมหุ้นไทยที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง 30 บริษัทซึ่งมีเกณฑ์คัดเลือกที่สำคัญโดยต้องเป็นหุ้นในดัชนี SET100 มีการจ่ายปันผลต่อเนื่อง 3 ปีและมีอัตราการจ่ายเงินปันผลไม่เกิน 100% ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะปรับรายชื่อหุ้นในดัชนี SETHD ทุกๆ 6 เดือน (มิ.ย.และธ.ค.) ทั้งนี้ อุตสาหกรรมหลักของหุ้น ที่อยู่ในดัชนี SETHD ได้แก่ กลุ่มธนาคาร มีสัดส่วนสูงถึง 55% ของน้ำหนักรวมทั้งหมดในดัชนี รองลงมากลุ่มพลังงาน 24% กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 8% กลุ่มพาณิชย์ 4% และกลุ่มอาหาร 4% (ข้อมูล ณ 31 ต.ค. 68)

“จุดเด่นของกองทุน M-HD จะคัดเลือกหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลดีและสม่ำเสมอจากหุ้น 30 บริษัท บนดัชนี SETHD เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันมูลค่าหุ้นของหลายบริษัทยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังอยู่ในระดับเฉลี่ย 5-6% ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการลงทุนในระยะกลางถึงยาว” นายธนโชติ กล่าว

นอกจากนี้ความน่าสนใจของหุ้นปันผลสามารถสร้างผลตอบแทนโดดเด่นกว่าดัชนี SET Index โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ย. 63 – พ.ย. 68) ดัชนี SETHD ปรับตัวเพิ่มขึ้น 25.48% ในขณะที่ดัชนี SET ลดลง 3.34%  และหากพิจารณาผลตอบแทนย้อนหลังเป็นรายปีเมื่อเทียบดัชนี SETHD TRI กับดัชนี SET TRI (ผลตอบแทนรวมเงินปันผล) พบว่า SETHD TRI ในปี 2567 ให้ผลตอบแทนสูงถึง 8.44% ขณะที่ดัชนี SET TRI ผลตอบแทน 2.33% ,ปี 2566 ดัชนี SETHD TRI ให้ผลตอบแทน -1.94% ขณะที่ SET TRI ติดลบมากถึง -12.66%, ปี 2565 ดัชนี SETHD TRI ให้ผลตอบแทน 7.37% ขณะที่ SET ผลตอบแทน 3.53% เป็นต้น

นายธนโชติกล่าวอีกว่าสำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2569 คาดว่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศโดยเฉพาะมาตรการกระตุ้น  การบริโภค การส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว และโครงการช่วยเหลือประชาชน เช่น โครงการพักหนี้ ลดภาระค่าครองชีพ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน อย่างไรก็ตาม ตลาดยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก อาทิ ความไม่

แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่อาจดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดกว่าที่คาดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน      ซึ่งอาจกดดันกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายและความเชื่อมั่นในสินทรัพย์เสี่ยง

“ตลาดหุ้นไทยปรับฐานไปในระดับหนึ่งแล้ว เพื่อสะท้อนปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจากปัจจัยสนับสนุนภายใน เช่น การลงทุนจากภาครัฐ การบริโภคภาคเอกชน การลดดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงการทยอยปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในทิศทางที่ดีขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยบวกช่วยประคับประคองภาพรวมของตลาดให้ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะกลางถึงยาว” นายธนโชติ กล่าว 

สำหรับปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลต่อตลาดหุ้นในปี 2569  ได้แก่ 1.การเลือกตั้งในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะไม่เกินไตรมาส 2 ส่งผลให้เกิดความคาดหวังเชิงบวกต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ซึ่งอาจช่วยเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย 2.แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และของธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วยคลายแรงกดดันต่อตลาดการเงินโลก และเอื้อต่อกระแสเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่รวมถึงหุ้นไทย 3.การลดดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์และพลังงานที่อยู่ในระดับทรงตัวหรือลดลง ช่วยลดต้นทุนของภาคธุรกิจ และ 4.มูลค่าหุ้นของหลายบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังอยู่ในระดับสูง 

ทั้งนี้ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้าเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุนผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคตขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บลจ.เอ็มเอฟซีจำกัด (มหาชน) และตัวแทนสนับสนุนการขายหรือโทรศัพท์ 0-2649-2000 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุนกด 2 หรือ Contact Center กด 0 สาขาแจ้งวัฒนะโทร. 0-2835-3055-57 สาขาปิ่นเกล้าโทร.0-2014-3150-2 สาขาขอนแก่นโทร. 043-204-014-16 สาขาเชียงใหม่โทร.0-5321-8480-82 สาขาระยองโทร.033-100-340 สาขาหาดใหญ่โทร. 074-232-324-25 หรือที่ www.mfcfund.com

- Advertisement -