ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณากำหนดเกณฑ์รายได้ต่างประเทศ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น 7% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
EBC Financial Group ระบุว่า การปฏิรูปตลาดเงินตราต่างประเทศและการกำกับดูแลทองคำที่เข้มงวด บวกกับความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อาจช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาท ขณะเดียวกันผู้กำหนดนโยบายมุ่งเน้นเรื่องการลดความผันผวนในตลาด
ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังเตรียมมาตรการเพื่อบรรเทาแรงกดดันต่อค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้น 7% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ ทำให้เป็นสกุลเงินที่ทำผลงานดีที่สุดเป็นอันดับสองในเอเชีย ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ให้คำแนะนำต่อกระทรวงการคลังให้พิจารณาปรับเพิ่มเกณฑ์รายได้จากต่างประเทศที่ผู้ประกอบการสามารถเก็บไว้ในต่างประเทศได้ โดยไม่ต้องนำเงินตราต่างประเทศ (โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐ) กลับเข้ามาในประเทศทันที โดยคาดว่าจะเริ่มใช้มาตรการนี้ในเดือนนี้ เกณฑ์ที่สูงขึ้นนี้มีเป้าหมายเพื่อให้บริษัทต่าง ๆ มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการจัดการรายได้จากต่างประเทศ พร้อมกับลดปริมาณเงินตราต่างประเทศที่ถูกนำเข้ามาในประเทศ ช่วยบรรเทาแรงกดดันต่อค่าเงินบาท
Samuel Hertz หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ EBC Financial Group (“EBC”) กล่าวว่า “ขนาดของการปรับเพิ่มครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามอย่างชัดเจนในการลดปริมาณเงินตราต่างประเทศที่ไหลเข้าสู่ประเทศ และเพิ่มความยืดหยุ่นมากขึ้นแก่บริษัทในการจัดการสภาพคล่อง การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความกังวลของผู้กำหนดนโยบายว่า การแข็งค่าของเงินบาทอย่างรวดเร็วอาจกัดกร่อนความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย”
มาตรการกำกับดูแลธุรกรรมทองคำที่เข้มงวด บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ
ควบคู่ไปกับมาตรการกำหนดรายได้จากต่างประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย กำลังเพิ่มความเข้มงวดการตรวจสอบกระแสเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับทองคำ สถาบันการเงินได้รับคำสั่งให้ใช้มาตรการตรวจสอบความเหมาะสมอย่างเข้มงวดก่อนดำเนินการธุรกรรม ขณะที่ผู้ค้าทองคำรายใหญ่บางรายอาจต้องรายงานข้อมูลธุรกรรมอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถติดตามและประเมินผลกระทบต่อค่าเงินบาทได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Hertz กล่าวว่า “การติดตามกระแสทองคำมีความสำคัญเพิ่มขึ้น เนื่องจากบทบาทของทองคำในการเคลื่อนไหวของค่าเงินเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาทองคำโลกพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการขายดอลลาร์และกิจกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้น ความชัดเจนในการกำกับดูแลมากขึ้นจะช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายประเมินขนาดและช่วงเวลาของแรงกดดันต่อค่าเงินได้แม่นยำยิ่งขึ้น มาตรการที่เพิ่มความโปร่งใสเกี่ยวกับพฤติกรรมธุรกรรมมักสนับสนุนสภาพตลาดที่สงบขึ้น โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนและสถาบันที่ติดตามแนวโน้มสภาพคล่อง”
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 1% ส่วนใหญ่เกิดจากดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า การขายเงินตราต่างประเทศของผู้ส่งออก การไหลเข้าของพันธบัตร และการซื้อขายที่เกี่ยวข้องกับราคาทองคำโลกที่พุ่งขึ้นมากกว่า 4% ตามรายงานของธนาคารกลาง โดยเปิดตลาดวันจันทร์ที่ระดับ 32.09 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าจากปิดตลาดวันศุกร์ที่ 32.12 บาท และคาดว่าจะมีการซื้อขายในสัปดาห์นี้ในกรอบ 31.85–32.45 บาทต่อดอลลาร์
แนวโน้มดอกเบี้ยยังไม่แน่นอน ก่อนการทบทวนนโยบายในเดือนธันวาคม
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย วิไท รัตนากร ระบุว่ายังมีช่องว่างสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย แม้ว่าการปรับลดดังกล่าวอาจมีผลจำกัดต่อความท้าทายเชิงโครงสร้างในระยะยาว อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 1.50% หลังจากลดไปแล้ว 4 ครั้งในรอบปีที่ผ่านมา และมีกำหนดการทบทวนครั้งถัดไปในวันที่ 17 ธันวาคม นักวิเคราะห์คาดว่าอาจมีการปรับลดอีกครั้ง หลังจากที่ธนาคารกลางคงอัตราไว้อย่างไม่คาดคิดในเดือนตุลาคม
Hertz กล่าวเพิ่มเติมว่า “การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยจะยังคงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากตลาดการเงินโลกยังไวต่อความคาดหวังต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งนโยบายไทยและทิศทางการเงินของสหรัฐฯ นักลงทุนและบริษัทต่าง ๆ น่าจะประเมินความเคลื่อนไหวของนโยบายควบคู่ไปกับกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงิน”
เขาสรุปว่า “การจัดการอัตราแลกเปลี่ยน การกำกับดูแลธุรกรรม และการปรับเปลี่ยนกฎรายได้ต่างประเทศ เป็นกลยุทธ์ที่มุ่งลดความผันผวนเกินจำเป็น มากกว่าการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานทางเศรษฐกิจ” ธปท.ได้ส่งสัญญาณว่าจะติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดและแทรกแซงหากจำเป็นเพื่อจำกัดผลกระทบต่อภาคธุรกิจ
สำหรับบทวิเคราะห์เพิ่มเติมจาก EBC เยี่ยมชมได้ที่: www.ebc.com
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และไม่ถือเป็นข้อเสนอแนะหรือคำแนะนำจาก EBC Financial Group และทุกหน่วยงานในเครือ (“EBC”) การซื้อขายฟอเร็กซ์และสัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFDs) ด้วยมาร์จิ้นมีความเสี่ยงสูงและอาจไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกประเภท ความสูญเสียอาจมากกว่าจำนวนเงินที่คุณฝาก ก่อนทำการซื้อขาย คุณควรพิจารณาวัตถุประสงค์ในการเทรด ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่ยอมรับได้อย่างรอบคอบ และควรขอคำปรึกษาจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระหากจำเป็น สถิติหรือผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถรับประกันผลการลงทุนในอนาคต EBC จะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการนำข้อมูลนี้ไปใช้หรือเชื่อถือ
เกี่ยวกับ EBC Financial Group
EBC Financial Group (EBC) ก่อตั้งขึ้นในย่านการเงินชื่อดังของกรุงลอนดอน เป็นแบรนด์ระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านบริการนายหน้าซื้อขายทางการเงินและการบริหารสินทรัพย์ โดยมีบริษัทในเครือที่ได้รับใบอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลในตลาดการเงินสำคัญทั่วโลก อาทิ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย หมู่เกาะเคย์แมน มอริเชียส และประเทศอื่น ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อย นักลงทุนมืออาชีพ และสถาบัน สามารถเข้าถึงการลงทุนในตลาดการเงินระดับโลก ทั้งในกลุ่มสกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ หุ้น และดัชนีต่าง ๆ
EBC เป็นที่ไว้วางใจจากนักลงทุนในกว่า 100 ประเทศ และได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย รวมถึงการได้รับการยกย่องหลายปีติดต่อกันจาก World Finance ทำให้ EBC ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ที่ดีที่สุดของโลก โดยได้รับตำแหน่งต่าง ๆ เช่น ‘แพลตฟอร์มเทรดยอดเยี่ยม’ และ ‘โบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือที่สุด’ ด้วยความมั่นคงด้านกฎระเบียบและความมุ่งมั่นด้านความโปร่งใส EBC ยังได้รับการจัดอันดับอย่างต่อเนื่องในกลุ่มโบรกเกอร์ชั้นนำ ที่นักลงทุนไว้วางใจในการให้บริการการลงทุนที่ปลอดภัย ทันสมัย และมุ่งเน้นนักลงทุนเป็นหลัก
EBC ได้รับการยอมรับจากหลากหลายรางวัลในระดับนานาชาติ พร้อมยึดมั่นในมาตรฐานจริยธรรมที่เข้มงวด โดยบริษัทในเครือของ EBC ได้รับใบอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลในแต่ละประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ได้แก่ EBC Financial Group (UK) Limited ซึ่งได้รับการกำกับดูแลโดยสำนักงานกำกับดูแลการเงินของสหราชอาณาจักร (FCA), EBC Financial Group (Cayman) Limited ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานการเงินหมู่เกาะเคย์แมน (CIMA), EBC Financial Group (Australia) Pty Ltd และ EBC Asset Management Pty Ltd ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และการลงทุนออสเตรเลีย (ASIC) และ EBC Financial (MU) Ltd ซึ่งได้รับอนุญาตและควบคุมโดยคณะกรรมการบริการทางการเงินมอริเชียส (FSC)
หัวใจสำคัญของ EBC คือทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมการเงินกว่า 40 ปี โดยผ่านการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจระดับโลกมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่ข้อตกลง Plaza Accord วิกฤตฟรังก์สวิสในปี 2015 ไปจนถึงความผันผวนในช่วงการระบาดของโควิด-19 EBC ยึดมั่นในวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ ความเคารพ และความปลอดภัยของสินทรัพย์ลูกค้าอย่างสูงสุด เพื่อให้ความสัมพันธ์กับนักลงทุนทุกคนได้รับการดูแลด้วยความจริงจังในทุกมิติ
ในฐานะพันธมิตรอย่างเป็นทางการด้านการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา (FC Barcelona) EBC ให้บริการเฉพาะทางแก่ลูกค้าในภูมิภาคเอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา และโอเชียเนีย นอกจากนี้ บริษัทยังมีบทบาทในการสนับสนุนโครงการเพื่อสุขภาพระดับโลกผ่านความร่วมมือกับองค์กร United to Beat Malaria อีกทั้งยังสนับสนุนกิจกรรมเผยแพร่ความรู้สาธารณะ “What Economists Really Do” ของภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์และบทบาทของเศรษฐศาสตร์ต่อประเด็นท้าทายของสังคมในปัจจุบัน
https://www.ebc.com/









