KS Daily View 4 ธ.ค. 2025>>>คาด SET Index จะแกว่งตัว sideways ในกรอบ 1,270 – 1,285 จุด ระยะสั้นมีประเด็นลบจากต่างประเทศเข้ามากดดัน แต่มองตลาดอาจประคองตัว sideway รอดูผลการประชุม FOMC สัปดาห์หน้า
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปิดตลาดปรับตัวลดลง แต่ภาพรวมยังไม่เสียหาย หลังดัชนี SET Index ปิดตลาดยังยืนเหนือระดับ 1,270 จุดได้ ทำให้แนวโน้มหลักเป็นภาพของการกลับมาเคลื่อนไหว sideway ในกรอบ 1,270-1,315 จุดได้ต่อ บนเงื่อนไขต้องไม่หลุดแนวรับสำคัญที่ 1,270 จุด หากไม่ต้องการให้ภาพตลาดรวมพลิกเป็นเทรนด์ขาลง
ระยะสั้นบรรยากาศการลงทุนในต่างประเทศที่เป็นลบจากความกังวลตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ อ่อนแออาจเข้ามากดดัน แต่เชื่อผลกระทบจำกัด เนื่องจาก Theme หลักการลงทุนช่วงนี้คือตลาดรอดูผลการประชุม FOMC ในวันที่ 10 ธ.ค. และการประชุม กนง. ของไทยในวันที่ 17 ธ.ค. ซึ่งคาดว่าจะลดดอกเบี้ยนโยบายลงทั้งคู่ ช่วยหนุนภาพรวมการลงทุนต่อ
อีกทั้งรอความชัดเจนเรื่องมาตรการสนับสนุนการออมการลงทุนผ่านโครงการ TISA ว่าจะให้สิทธิประโยชน์ในทางภาษีมากน้อยแค่ไหนเทียบกับการสรนับสนุนในรูปแบบเดิม รวมถึงเรื่องการเมืองที่จะมีเปิดประชุมสภาในวันที่ 12 ธ.ค. นี้ ความเสี่ยงที่จะมีการยุบสภาก่อนกำหนดเดิมลดลง แต่ตลาดรอการยืนยัน และต้องการเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง
กลุ่มหุ้นที่มีพัฒนาการเชิงบวกและตลาดให้ความสนใจช่วงนี้เช่น Tourism, Transportation, Banking, Finance, Commerce, และ Property
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
- สหรัฐฯ รายงานตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน (ADP employment) ในเดือน พ.ย. ลดลง 32,000 ตำแหน่ง แย่กว่าที่ตลาดมองว่าจะเพิ่มขึ้น 10,000 ตำแหน่ง และอ่อนแอกว่าเดือนก่อนหน้าที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 47,000 ตำแหน่ง ตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอหนุนให้ Fed มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงในสัปดาห์หน้าวันที่ 10 ธ.ค. ชัดขึ้น โดยตลาดมองมีโอกาสกว่า 90% ที่ Fed จะลดดอกเบี้ยลงในรอบการประชุมครั้งถัดไป ส่งผลให้ bond yield สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง และค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า อย่างไรก็ดี ราคาสินทรัพย์เสี่ยงหรือดัชนีหุ้นตอบรับข้อมูลในเชิงลบภายหลังรายงานข้อมูล ขณะที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้น เนื่องจากมองข้อมูลตัวเลขการจ้างงานมีทิศทางของการอ่อนแออย่างต่อเนื่องเป็นเทรนด์ ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าจะเป็นสัญญาณของภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระยะข้างหน้า แต่แรงกดดันเชิงลบจากข้อมูลการจ้างงานดูยังไม่แรงพอ เนื่องจากดัชนีหุ้นสหรัฐฯ สามารถกลับมาปิดตลาดในแดนบวกได้ในช่วงข้ามคืน แม้เชื่อว่าบรรยากาศของความผันผวนจากตลาดสหรัฐฯ อาจต่อเนื่องมายังตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียรวมถึงไทยในวันนี้ แต่ประเมินว่าอาจกระทบเชิง sentiment ไม่มากนัก
- กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขเงินเฟ้อไทยสำหรับเดือนพ.ย. 2025 หดตัว -0.49% YoY โดยเป็นการติดลบเดือนที่ 8 ติดต่อกัน ฉุดจากราคาพลังงานที่ลดลงและผลจากมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ อย่างไรก็ดี ตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาถือว่าหดตัวน้อยกว่าที่ตลาดคาด -0.60% YoY และลบน้อยกว่าเดือนก่อนหน้าที่ -0.76% YoY ขณะที่ด้านเงินเฟ้อพื้นฐานเร่งตัวขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ที่ 0.66% YoY สูงกว่าที่คาดการณ์ และเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย อย่างไรก็ดี มองไปข้างหน้าสำหรับปี 2026 กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์เงินเฟ้อจะอยู่ที่ 0.0-1.0% โดยภาวะเงินฝืดยังคงมีความเป็นไปได้จากการชะลอตัวของการส่งออกและการบริโภคในประเทศ ด้วยภาพตัวเลขเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง และน้อยกว่าเป้าหมายนโยบายถือเป็นปัจจัยหนุนให้ กนง. อาจพิจารณาลดอกเบี้ยนโยบายในรอบการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 17 ธ.ค. นี้ เป็นบวกกับหุ้นในกลุ่มการเงิน และกลุ่มปันผลสูงเช่นกลุ่มสื่อสารและอสังหาฯ
- ทอท. เตรียมปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมผู้โดยสารขาออก (PSC – Passenger Service Charge) จาก 730 บาท เป็น 1,120 บาท โดยคาดว่าจะเริ่มต้นในต้นปี 2569 หลังจากที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กบร.) โดยจะเพิ่มรายได้ให้ ทอท. ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งจะนำไปพัฒนาการบริการท่าอากาศยาน รวมถึงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิ นอกจากนี้ ยังมีการปรับค่าบริการในท่าอากาศยานภายในประเทศบางแห่ง เราประเมิน PSC เพิ่มทุกๆ 100 บาท จะสร้าง upside ให้กับ AOT 3.4 บาท
- ราคาน้ำมัน WTI ปรับขึ้น 0.73% ทะลุ $59 หลังการเจรจาระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ ในการทำข้อตกลงสันติภาพยูเครนไม่ โดยการเจรจาที่ไม่สำเร็จทำให้โอกาสในการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรสำหรับรัสเซียลดลง ซึ่งอาจส่งผลต่อการส่งออกน้ำมันของรัสเซียสู่ตลาดโลก ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นเป็นบวกกับหุ้นกลุ่มพลังงานโดยเฉพาะ PTTEP
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
AOT: ราคาพื้นฐาน 55.5 บาท
เราปรับเพิ่มคำแนะนำสำหรับ AOT จาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 55.50 บาท จากเดิม 40.00 บาท เพื่อสะท้อนการปรับเพิ่มประมาณการกำไรของเราในปี FY2569-70 ขึ้น 12.9% และ 46% ตามลำดับจาก 1) รายได้จากสัมปทานที่ลดลงจากการแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรี, 2) รายได้จากค่าบริการผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นจากการปรับเพิ่ม PSC, และ 3) ประมาณการจำนวนผู้โดยสารรวมที่สูงขึ้นเป็น 121 ล้านคน และ 129 ล้านคน สำหรับปี FY2569-70 จาก 117 ล้านคน และ 121 ล้านคน ตามลำดับ เรายังคงมุมมองที่เป็นบวกต่อจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าในปี 2569 และคาดว่า AOT จะเป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์หลักจากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น
MRDIYT: ราคาพื้นฐาน 10.1 บาท
เรามอง MYDIYT เป็นหุ้นเติบโตสูงมีความน่าสนใจ เนื่องจากคาดกำไรสุทธิบริษัทจะมี CAGR ที่ +25.2% (ปี 2568-70) โดยประเมินบริษัทจะมียอดขายเติบโตมากกว่าอุตสาหกรรม หนุนจากการเปิดสาขาใหม่ที่มากกว่า 200 แห่ง อีกทั้งการจัดซื้อแบบรวมศูนย์และรูปแบบร้านค้าของบริษัทช่วยให้มีต้นทุนต่ำและรักษา GPM ให้อยู่ได้ในระดับสูง นอกจากนี้การขยายสาขาด้วยกลยุทธ์แบบ light asset ทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง และสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ที่ไม่มาก ทำให้สามารถรองรับแผนขยายสาขาในเชิงรุกได้อีกในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราคาดกระแสเงินสดจะแข็งแกร่งและบริษัทมีสถานะเงินสดสุทธิหลัง IPO รวมถึงแผนการสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ที่สามารถรองรับการดำเนินงานได้มากถึง 3,000 สาขา
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
วันพฤหัสบดี ติดตามตัวเลขการรายงานจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.16 แสนตำแหน่ง
วันศุกร์ ติดตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภครัฐจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (Michigan Consumer Sentiment Prelim) เดือน ธ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 52.0 จุดเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 51.0 จุด และรายงานดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคพื้นฐานส่วนบุคคล (US PCE Price Index) เดือน ก.ย. ตลาดคาดที่ 2.8% YoY








