KS Daily View 11 ธ.ค. 2025>>>คาด SET Index บวกรับ Fed ลดดอกเบี้ยและกลับมาเสริมสภาพคล่อง ประเมินดัชนีซื้อขายในกรอบ 1,265 – 1,290 จุด ลุ้นกนง. สัปดาห์หน้าลดอกเบี้ยและฟื้นต่อรับเม็ดเงินลงทุนลดหย่อนภาษีช่วงสิ้นปี
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นไทยก่อนวันหยุดปิดตลาดวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.67% หรือ 8.48 จุด หนุนจากกลุ่มอิเล็กโทรนิกส์เป็นหลักโดยเฉพาะ DELTA ที่บวกขึ้นมา 2.86% และมีผลต่อดัชนี 5.42 จุด ขณะที่กลุ่มอื่นเคลื่อนไหวผสมผสานตามปัจจัยเฉพาะเช่น กลุ่มโรงไฟฟ้าที่ได้อานิสงค์บวกจากราคาก๊าซปรับตัวลง, กลุ่มโรงพยาบาลฟื้นตัวบนความคาดหวังคนไข้จากคูเวตจะกลับมา และกลุ่มการเงินที่มีแรงเก็งกำไรตามแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่กลุ่มค้าปลีกปรับตัวลงบนความกังวลเรื่องกำลังซื้ออ่อนแอและผลกระทบจากความขัดแย้งกับกัมพูชา มองไปข้างหน้า
สำหรับปัจจัยภายในประเทศความคาดหวังของตลาดบนมาตรการสนับสนุนตลาดทุนดูลดลง หลัง ครม. เลื่อนการพิจารณามาตรการ อีกทั้งเงื่อนไขการลดหย่อนดูซับซ้อนรวมถึงอาจไม่ดึงดูดเพียงพอ เนื่องจากมีการลดสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกลุ่มคนรายได้สูงซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่ลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี อย่างไรก็ดีเชื่อวันนี้ตลาดสามารถฟื้นตัวได้ ตอบรับข่าวเชิงบวกหนุนจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลักหลังช่วงข้ามคืนที่ผ่านมา Fed ปรับลดอกเบี้ยนโยบายตามคาด อีกทั้งกลับมาใช้มาตรการเสริมสภาพคล่องที่อาจมองได้เป็น mini QE ช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในตลาด ลุ้นตลาดเก็งกำไร กนง. ประชุมสัปดาห์หน้าลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก รวมถึงได้แรงหนุนจากเม็ดเงินซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีช่วงปลายปี ลุ้นดัชนีกลับไปเหนือระดับ 1,270 จุด และทดสอบแนวต้าน 1,290 จุดในระยะสั้น
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
- Fed ลดดอกเบี้ย 25bps จาก 4.00% เป็น 3.75% ตามคาด แม้มีเสียงโหวตของกรรมการแตกเพิ่มขึ้น แต่ภาพรวมถือเป็นผลประชุมเชิงบวก เนื่องจากเสียงแย้งของกรรมการในการลดดอกเบี้ยยังน้อยกว่าที่ตลาดกังวลโดยมีเพียง 2 คนที่ต้องการคงดอกเบี้ยไว้ อีกทั้ง Fed ประกาศกลับมาเริ่มโครงการซื้อตั๋วเงินระยะสั้นรัฐบาล (mini QE) ราว 4 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อพยุงสภาพคล่องและควบคุมอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินให้เป็นไปตามนโยบาย กอปรกับปรับมุมมองเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างมีนัย โดยคาด GDP ปี 2026–27 โตเกิน 2% และคาดเงินเฟ้อลดลง อย่างไรก็ดี Fed เผยยังระมัดระวังในการพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจที่อาจมีความผิดปกติในระยะสั้นจากการปิดทำการของหน่วยงานราชการสหรัฐฯ ส่งผลให้ dot plot ชี้ปีหน้า Fed อาจลดดอกเบี้ยได้ 1 ครั้ง 25bps แต่ตลาดมองอาจเห็นดอกเบี้ยลดต่อได้ 50bps สู่ระดับ 3.25% สิ้นปี 2026
- โฆษกรัฐบาลเผยว่า ที่ประชุม ครม. วันที่ 9 ธ.ค. 2568 ที่ผ่านมายังไม่มีการพิจารณามาตรการกระตุ้นการออม รวมถึงโครงการคนละครึ่งพลัสเฟส 2 และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ เนื่องจากอยู่ระหว่างทำข้อสรุปและโครงการมีรายละเอียดค่อนข้างมาก อย่างไรก็ดี คาดว่าจะเสนอ ครม. ได้ภายในเดือนนี้ีเพื่อให้ใช้งานได้ก่อนยุบสภา ขณะที่โครงการตั๋วร่วมและโครงข่ายรถไฟฟ้าแบบ Single Ownership ยังไม่ได้นำเสนอเข้า ครม. เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องจัดทำข้อมูลและแก้ประเด็นทางเทคนิคเพิ่มเติมแต่คาดว่าจะเสนอได้ในที่ประชุมสัปดาห์หน้า
- BIS เตือนความเสี่ยง “ฟองสบู่คู่” เป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี หลังราคาทองคำและหุ้นทั่วโลกพุ่งแรงพร้อมกัน โดยทองคำเพิ่มขึ้นกว่า 60% ในปีนี้ และ 150% ตั้งแต่ปี 2022 ขณะที่หุ้นถูกหนุนจากกระแส AI นักลงทุนรายย่อยและกองทุนทองคำซื้อเก็งกำไรจนราคาเทรดสูงกว่า NAV อย่างต่อเนื่อง เพิ่มความเปราะบางของตลาด BIS และธนาคารกลางยุโรป-อังกฤษเตือนว่าหากความคาดหวังเรื่อง AI ไม่เป็นจริง อาจเกิดการปรับฐานรุนแรงได้ ขณะที่มองเสถียรภาพเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไปเป็นปัจจัยชี้นำสำคัญของทิศทางตลาดและบรรยากาศการเก็งกำไร
- จีนรายงานตัวเลขเงินเฟ้อดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สำหรับเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 0.7% YoY สอดคล้องกับที่ตลาดคาด แต่ถือเป็นการแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี ฟื้นตัวต่อเนื่องจากเดือนต.ค.ที่เพิ่มขึ้น 0.2% YoY อย่างไรก็ดี ตลาดมองจีนยังเผชิญความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินฝืดจากแรงกดดันของวิกฤตตลาดอสังหาฯ และตลาดแรงงานที่อ่อนแอ ทำให้การใช้จ่ายครัวเรือนยังซบเซา โดยโปลิตบูโรส่งสัญญาณเดินหน้านโยบายกระตุ้นอุปสงค์ต่อแต่จะใช้มาตรการอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงินโดยรวม
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
SAWAD: ราคาพื้นฐาน 29.0 บาท
เรามองผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวจากค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (credit cost) ลงเหลือ 150-180bps ในปี 2569 เทียบ 180-200bps ในปี 2568 อีกทั้งผลขาดทุนจากการขายรถยนต์ถูกยึดลดลงอย่างต่อเนื่องโดยจะต่ำกว่า 100 ลบ.ต่อไตรมาสในปี 2569 เทียบกับ 137 ลบ.ในไตรมาส 3/2568 นอกจากนี้อุปสงค์สินเชื่อเช่าซื้อ (HP) ที่อ่อนแอจะถูกชดเชยด้วยความต้องการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่แข็งแกร่งมาก ทำให้สินเชื่อโดยรวมของบริษัทปีหน้าอาจโตได้ 10-15% รวมถึงบริษัทได้ประโยชน์จากต้นทุนดอกเบี้ยที่อยู่ในแนวโน้มขาลงทำให้บริษัทสามารถประหยัดต้นทุนทางการเงินส่งผลให้อัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2569-70
KKP: ราคาพื้นฐาน 74.5 บาท
ทิศทางผลประกอบการคาดว่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น จากผลขาดทุนการขายรถยึดคืนและ ECL ที่ลดลงคาดจะเป็นปัจจัยหนุนกำไรในระยะข้างหน้า หลังสต็อกรถยึดคืนลดลงเหลือต่ำกว่า 2,000 คัน ต่ำสุดในรอบ 3 ปี อีกทั้งคุณภาพสินเชื่อเช่าซื้อระยะที่ 2 และระยะที่ 3 ก็ดีขึ้น รวมถึงอัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ที่ลดลงต่อเนื่องในช่วง 8 ไตรมาสที่ผ่านมาเริ่มคลี่คลาย ทั้งนี้ KKP ถือเป็นแบงก์เล็กที่มีพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อสูง ขณะที่ CASA ต่ำ ถือเป็นโครงสร้างที่จะได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยลด กอปรกับให้ dividend yield สูง 7.5% บน PE 0.8x และ PE 9x
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
วันพฤหัสฯ ติดตามตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ ตลาดคาดจะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.91 แสนคน ในสัปดาห์ก่อนหน้าเป็น 2.20 แสนคน รวมถึงรายงานตัวเลขดุลการค้าของสหรัฐฯ สำหรับเดือน ก.ย. ตลาดคาดขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 6.31 หมื่นล้านดอลลาร์ เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 5.96 หมื่นล้านดอลลาร์
วันศุกร์ ติดตามผลการประชุม ECOFIN meeting หรือคณะมนตรีการเงินของยุโรป ที่มีการจัดประชุม ณ กรุงบรัสเซลส์ รวมถึงติดตามการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2 ของไทย









