เก่งหลังเกมส์
SET Index -16.3 จุด -1.29% ปิดที่ระดับ 1,253.5 จุด ปรับลงสอดคล้องกับตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ที่ปรับลง ยกเว้นตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ,มาเลเซียที่ปรับขึ้น มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 2.87 หมื่นล้านบาท รับผลประชุม Fed ตามที่คาดคือ ลดดอกเบี้ย 25 bps โดยมี Sector ปรับขึ้นหนุนดัชนี คือ กลุ่มโรงพยาบาล BDMS, BH กลุ่มท่องเที่ยว MINT กลุ่มพลังงาน TOP, BCPG ส่วน Sector ปรับลง คือ กลุ่มชิ้นส่วน DELTA, กลุ่มขนส่ง AOT กลุ่มปิโตรเคมี IVL, PTTGC กลุ่มอาหาร CPF ฯลฯ
หุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ
DELTA -6.33% CCET -3.37%
หุ้นปรับลงรับ 1.)เงินบาทแกว่งตัวแข็งค่า จิตวิทยาลบกดดันหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนที่เป็นหุ้นส่งออก 2.)ปัจจัยลบเฉพาะ อาทิ DELTA แรงกดดันมาจาก DELTA Taiwan แจ้งยอดขายเดือน พ.ย.2025 +37.9%y-y แต่ -11.9%m-m มาที่ NT$50,543 million ผสานกับปรับพอร์ตก่อนการ Capped Weight ผลกระทบการจำกัดน้ำหนัก SET50/100 คาดจะเห็นการปรับลดน้ำหนัก DELTA ลง ส่วน CCET รายงานยอดขายเดือนพ.ย.68 ลดลง 13.7%y-y, 14.6%m-m กลยุทธ์ยังแนะนำ ชะลอลงทุน
BDMS +1.56% BH 0.91%
เป็นหุ้นกลุ่ม Defensive ที่ราคาหุ้นแข็งแกร่งในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน ผสานกับเป็นหุ้นที่ Valuation ไม่แพง และเป็นหุ้น Deep Value ซื้อขาย PE ปี 26F เฉลี่ย 16.5 เท่า เทียบเท่า Forward PE ต่ำกว่า -2.0SD และมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 3-5% จูงใจ หุ้นเด่น แนะนำ BDMS และ BCH
BLA -2.1%
หุ้นกลุ่มประกันชีวิตมีจิตวิทยาลบตาม Bond yields ที่ปรับลง หลังจาก Fed ลดดอกเบี้ย 25 bps เมื่อวาน ผสานคาดโอกาส ไทยมีโอกาสที่ประชุม กนง. 17 ธ.ค. ลดดอกเบี้ย 25 bps มาที่ 1.25% โดยกระทบหุ้นจาก 1.)ผลตอบแทนจากการลงทุนลดลง: บริษัทประกันชีวิตจะนำเบี้ยประกันที่ได้รับจากผู้เอาประกันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชน ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนอ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ย เมื่อดอกเบี้ยนโยบายลดลง ผลตอบแทนจากการนำเงินไปลงทุนใหม่(Reinvestment) ก็จะลดลงตาม 2.) การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น: เมื่ออัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ผู้คนอาจสนใจที่จะออมเงินผ่านผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า เช่น ตราสารหนี้ระยะยาว หรือการลงทุนในตลาดหุ้น ทำให้บริษัทประกันต้องแข่งขันเพื่อดึงดูดลูกค้า ซึ่งอาจส่งผลต่อกำไรในระยะยาว
GFPT +2.0%
ปรับขึ้น โดยคาดแรงหนุนจากผลประกอบการเด่น โมเมนตั้ม 4Q25F คาดกำไรเพิ่มขึ้น y-y, q-q จากต้นทุนวัตถุดิบอยู่ในระดับต่ำ ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น ปัญหาแรงงานขาดแคลนคลี่คลายลง และปัจจัยหนุนการบริโภคจากเทศกาลท่องเที่ยวและอานิสงส์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ณ ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER ต่ำเพียง 4.6x อยู่ในระดับ -1.75SD และเป็น Top pick
BCPG +4.35%
Outlook กำไรปกติ 4Q25F ยังคงเติบโต y-y จาก i) Capacity payment ของโรงไฟฟ้าก๊าซสหรัฐที่ปรับขึ้นจาก 29$/MW-day เป็น 270$/MW-day ii) ปริมาณน้ำในเขื่อนในลาวทรงตัวสูง iii) ส่วนแบ่งกำไรจาก Monsoon พลิกเป็นบวกบนสมมติฐาน CUF ที่ 50-60% คงคำแนะนำ Buy บน TP26F ที่ 9.40 บาท/หุ้น









