บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):
MMM Capital (MMM.BK/MMM TB) โมเมนตัมกำไรเติบโตแข็งแกร่ง
Event
อัปเดตธุรกิจ
Impact
สรุปผลประกอบการ 3Q68 และ 9M68
รายได้ 3Q68 พุ่งขึ้น 21% QoQ ที่ 222 ล้านบาททำให้รายได้ 9M68 เพิ่มอยู่ที่ 562 ล้านบาท (+171% YoY) หลัก ๆ จากยอดโอนบ้านพุ่งขึ้นที่ 94 ยูนิต จากการบริหารงานขายโครงการ (BU2) ที่ให้บริการโอนกรรมสิทธิ์ในโครงการภายใต้สัญญาบริหารการขาย (จากเพียง 10 ยูนิตใน 9M67) ในแง่ อัตรากำไรขั้นต้น ทั้ง 3Q68 และ 9M68 อยู่ราว 44–45% โดยลดลง YoY จากสัดส่วนยอดขายที่เพิ่มขึ้นของ BU2 (มีมาร์จิ้นต่ำ) แต่ทว่า สัดส่วน SG&A ต่อรายได้ควบคุมได้ดีราว 22–23% โดยสรุป กำไรสุทธิ 3Q68 พุ่งขึ้น 115% ที่ 40 ล้านบาททำให้กำไรสุทธิ 9M68 สูงที่ 103 ล้านบาท (+160% YoY) โดยปกติแล้วไตรมาส 4 มักเป็น ช่วง high season ดังนั้นกำไรสุทธิ 4Q68F น่าจะทำจุดสูงสุดใหม่ราว 50–60 ล้านบาท (+25–50% QoQ)
เป็นผู้ได้ประโยชน์ลำดับต้น ๆ เมื่อตลาดซื้อขายโครงการพร้อมอยู่หรือบ้านมือสองหรือคึกคักขึ้น
แม้ตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวมยังน่าท้าทาย แต่ตลาดบ้านมือสอง/โครงการพร้อมอยู่กำลังกลายเป็นตัวเลือกที่เติบโตดีและได้รับความนิยมมากขึ้น ตามข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) สังกัดธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่ระบุว่าช่วง 8M68 ได้มีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสองสูงถึง 66% โดยเฉพาะกลุ่มราคาที่ต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อยูนิต ขณะที่ ภาครัฐยังเอื้อต่อแนวโน้มนี้ผ่านการลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนองลงเหลือเพียง 0.01% ปัจจัยหนุนหลักมาจาก: ต้นทุนรวมต่ำกว่าบ้านใหม่ และตัวเลือกทำเลที่หลากหลาย โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่มีที่ดินจำกัด นอกจากนี้ สิ่งที่น่าดึงดูดอีกคือสามารถต่อรองราคาซื้อขายได้, ผู้ซื้อได้ตรวจสอบสภาพจริงของทรัพย์ก่อนตัดสินใจ, การปรับปรุงตกแต่งใหม่ทำได้ง่ายและมูลค่าขายต่อสูง ด้วยเหตุนี้ บ้านมือสอง/โครงการพร้อมอยู่จึงน่าดึงดูดทั้งผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย และนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนเร็ว
กำไรปี 2568F–70F จะเติบโตแบบก้าวกระโดด
เรายังคงประมาณการกำไรปี 2568F ที่ 161 ล้านบาท (คิดเป็น 64% ใน 9M687) ตามจำนวนยูนิตที่ขาย 433 ยูนิต (+30% YoY) ด้วยราคาขายเฉลี่ย 1.7 ล้านบาท/ยูนิต (เพิ่มจาก 1.1 ล้านบาทในปี 2567) ส่วน gross margin ทรงตัวที่ 45–46% ขณะนี้ เราประเมินกำไรเฉลี่ยปี 2568F–70F จะเติบโตสูงราว 50% ต่อป
Valuation
เราแนะนำ “ซื้อ” MMM ราคาเป้าหมายปี 2569F ที่ 10.00 บาท อิงจาก PE ที่ 13.0x ซึ่งเทียบเท่าค่าเฉลี่ย PE ของผู้พัฒนาอสังหาฯ 8 รายที่เราวิเคราะห์อยู่และใกล้เคียงราคาหุ้นปัจจุบันเทียบกับ EPS ช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา (Trailing PE) ของดัชนี SETPROP แต่หากใช้วิธีอนุรักษ์นิยมสุด โดยอิงค่าเฉลี่ย PE ที่ 6–7x ของผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่มี market cap. สูงสุด 5 รายแรกคำนวณกับ EPS ปี 2569F ที่ 0.74 บาทก็จะได้ราคาเหมาะสมราว 4.4–5.2 บาท ซึ่งจะมี upside ราว 38–64% จากราคาปิดล่าสุด ทั้งนี้ เราคาดว่าราคาหุ้นจะได้แรงหนุนจาก CAGR ช่วง 3 ปี (2568F–70F) ที่ +50% และให้ yield สูงกว่า 13% หาก payout ratio ที่ 70%
Risk
แนวโน้มอุตสาหกรรมอสังหา ฯ ชะลอจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้น โอกาสมีนโยบายกระตุ้นจากภาครัฐ การให้สินเชื่อมีความเข้มงวดมากขึ้นท่ามกลางภาวะหนี้สิ้นภาคครัวเรือนสูงยืดเยื้อและการแข่งขันสูงในธุรกิจนายหน้าอสังหาฯ







