บล.พาย: 

TIDLOR: Ngern Tid Lor

ความสามารถการทำกำไรดีขึ้นในปี 2024

เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยมูลค่าพื้นฐานที่ 27.00 บาท เรามีมุมมองเป็นกลางหลังการประชุมนักวิเคราะห์ และคาดว่าปี 2024 จะเป็นปีที่ดีขึ้นโดยคาดว่ากำไรสุทธิจะขยายตัวแข็งแกร่งขึ้น 19% จากที่เติบโต 4.1%ในปี 2023 ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างเป็นรูปแบบ Holding Company ไม่มีผลอย่างมีนัยต่อการดำเนินงานของ TIDLOR และจะเพิ่มความคล่องตัว และมีประสิทธิภาพในการบริหารงานมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทอาจจะสามารถจ่ายปันผลเป็นเงินสดได้มากขึ้นในอนาคต จากในช่วงที่ผ่านมา บริษัทมักจะจ่ายหุ้นปันผลให้ผู้ถือหุ้น ส่วนสำคัญเพราะบริษัท ต้องดำรงสัดส่วนเงินกู้ต่อทุนชำระแล้วของบริษัทฯ ในสัดส่วนไม่เก็บ 7:1 เท่า เนื่องจากบริษัทมีสถานะเป็นนิติบุคคลต่างด้าว ด้านผลการดำเนินงานใน 1Q24 บริษัทรายงานกำไรสุทธิใน 1Q24 ดีกว่าคาดที่ 1.1 พันล้านบาท (+15.6% YoY, +22.5% QoQ) ด้าน NPL ratio เพิ่มเป็น 1.6% (แต่ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายการเงินที่ 1.4-1.8% ในปี 2024) และ Coverage ratio ลดลงแต่ยังแข็งแกร่งที่ 264.1%

การประชุมนักวิเคราะห์

  • แม้ว่า NPL ratio จะปรับสูงขึ้นใน 1Q24 บริษัทยังเชื่อว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินในปี 2024 แต่ได้แสดงความกังวลต่อสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกที่ยังผันผวนจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ล่าช้า ส่วนสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ค่อนข้างจะทรงตัวแล้ว
  • TIDLOR มีโอกาสจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพราะดอกเบี้ยที่คิดกับลูกค้ายังต่ำกว่าเพดานที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเรามองว่าจะทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) เริ่มทรงตัวได้มากขึ้นใน 2H24
  • เป้าหมายทางการเงินในปี 2024 (1) สินเชื่อเติบโต 10-20% เน้นการเติบโตจากสินเชื่อจำนำทะเบียนเป็นหลัก (2) Non-Life insurance premium โต 10-20% (3) Cost to income ratio ที่ราว 55% (4) NPL ratio ที่ 1.4-1.8% และอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อ (Credit cost) ที่ 3.0-3.35% และ (5) เปิดสาขาใหม่เพิ่ม 100 แห่ง
  • บริษัทมีแผนปรับโครงสร้างเป็นบริษัทลงทุน (Holding Company) จะทำให้ (1) การบริหารจัดการมีความคล่องตัว (2) ใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด (3) ประสานการทำธุรกิจระหว่างบริษัทในกลุ่มบริษัทเพื่อให้เกิด Synergy (4) สร้างมูลค่าเพิ่มแก่กลุ่มบริษัท และ (5) ช่วยต่อยอดธุรกิจการลงทุนในธุรกิจใหม่สร้างการเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทคาดว่าแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจจะแล้วเสร็จได้ใน 4Q24

คาดกำไรสุทธิเติบโตสูงขึ้นในปี 2024-25

  • คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตสูงขึ้นที่ 19.1% / 16.7% ในปี 2024-25 (2023 : +4.1%) หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายตัวจากสินเชื่อเติบโต และรายได้ค่าธรรมเนียมเติบโตจากธุรกิจนายหน้าธุรกิจประกันวินาศภัยสูงขึ้น
  • เราสมมติฐาน Credit costs ที่ 335 bps ทุกๆ 10 bps ของ credit cost ที่ลดลงจะส่งผลต่อกำไรสุทธิของ TIDLOR เพิ่มขึ้นราว 2% จากการประมาณการกำไรสุทธิในปี 2024 ของเราที่ 4.5 พันล้านบาท

คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยมูลค่าพื้นฐานที่ 27 บาท

มูลค่าพื้นฐานที่ 27.00 บาท คำนวณด้วยวิธี GGM (ROE 15%, TG 5%) อิงจาก 2.4x PBV’24E และ 17.4x PE’24E

แผนการปรับโครงสร้างเป็นบริษัทลงทุน (Holding Company)

แผนการปรับโครงสร้างจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4

  • บริษัทฯ จะดำเนินการให้มีการจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด คือ บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อประกอบธุรกิจเป็นบริษัทลงทุน (Holding Company) ภายหลังได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่แล้ว ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทฯจากผู้ถือหุ้น โดยการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับหุ้นสามัญในอัตราการแลกหลักทรัพย์เท่ากับ 1 หุ้นสามัญของบริษัทฯ ต่อ 1 หุ้นสามัญของติดล้อ โฮลดิ้งส์ ทั้งนี้ ติดล้อ โฮลดิ้งส์ สงวนสิทธิที่จะยกเลิกคำเสนอซื้อหลักทรัพย์หากจำนวนหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขายมีจำนวนน้อยกว่าร้อยละ 95 ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมด ภายหลังการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์เสร็จสิ้น ติดล้อ โฮล ดิ้งส์ จะยื่นขอนำหุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทนหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ซึ่งจะถูกเพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันเดียวกัน
  • บริษัทฯ จะโอนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยในรูปแบบ InsurTech ได้แก่ AREEGATOR และ heygoody รวมทั้งทรัพย์สินอื่นที่เกี่ยวข้องให้แก่บริษัทใหม่ที่จะถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยในรูปแบบ InsurTech ในอนาคต (บริษัทใหม่) ภายหลังจากการโอนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยดังกล่าวแล้วเสร็จ ติดล้อโฮลดิ้งส์จะเข้าซื้อหุ้นในบริษัทใหม่ในสัดส่วนร้อยละ 99.99 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทใหม่มีสถานะเป็นบริษัทย่อยของติดล้อ โฮลดิ้งส์
  • จากการที่ธุรกิจของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้ง (1) ธุรกิจสินเชื่อ และ (2) ธุรกิจนายหน้าประกัน รวมทั้งโอกาสและศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจทั้งสองในอนาคต บริษัทฯ มีแผนการจัดโครงสร้างของกลุ่มบริษัทในรูปแบบบริษัทลงทุนมีวัตถุประสงค์หลักในการเพิ่มประสิทธิภาพ และความยืดหยุ่นของโครงสร้างการจัดการให้ เหมาะสม รวมทั้งรองรับการประกอบ ธุรกิจของแต่ละกลุ่มธุรกิจที่มีลักษณะแตกต่างกันที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นในอนาคตการที่บริษัทฯ มีสถานะเป็นนิติบุคคลต่างด้าวตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 เนื่องจากมีผู้ถือหุ้นเป็นบุคคล และ/หรือ นิติบุคคลสัญชาติต่างประเทศจำนวนรวมกันเกินกว่าร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (Foreign Business Licenses: FBL) เพื่อการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ โดยใบอนุญาตดังกล่าวกำหนดให้บริษัทฯ มีหน้าที่ในการปฏิบัติตามข้อกำหนดในใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว รวมถึงต้องดำรงสัดส่วนเงินกู้ต่อทุนชำระแล้วของบริษัทฯ ในสัดส่วนไม่เกิน 7:1 เท่า
  • บริษัทฯ ต้องจัดหาเงินทุนบางส่วนจากการกู้ยืมเงินเพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจ ด้วยข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการดำรง สัดส่วนเงินกู้ต่อทุน บริษัทฯ ต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อจ่ายเงินปันผลบางส่วนเป็นหุ้นให้แก่ผู้ถือ หุ้นเพื่อจะสามารถกู้ยืมเงินรองรับการเติบโตของธุรกิจ และดำรงสัดส่วนเงินกู้ต่อทุนตามที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตประกอบ ธุรกิจของคนต่างด้าว การดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนมีความสับสนในผลประกอบการของบริษัทฯ โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบต่อราคาหุ้น (Price Dilution) และผลกระทบต่อกำไรต่อหุ้นของบริษัทฯ (Earning Per Shares Dilution) รวมถึงการ ที่ได้รับผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผลที่ไม่ใช่เงินสด ซึ่งอาจส่งผลกระทบและสร้างความผันผวนของราคาหุ้น บริษัทฯ จึงดำเนินการปรับโครงสร้างการถือหุ้น และการจัดการของบริษัทฯ เพื่อลดความสับสนของนักลงทุนจากการจ่ายหุ้นปันผล และความสับสนของนักลงทุนเกี่ยวกับมูลค่าของกิจการ และเพิ่มความคล่องตัวในการขยายธุรกิจของบริษัทฯ

สรุปผลการดำเนินงานใน 1Q24

  • กำไรสุทธิงวด 1Q24 ออกมาดีกว่าคาด 9% ที่ 1.1 พันล้านบาท (+15.6% YoY, +22.5% QoQ) โดยกำไรสุทธิเติบโต YoY และ Q0Q เนื่องจาก (1) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายตัวล้อกับการขยายสินเชื่อ (2) รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย และ (3) สำรองหนี้ฯ ปรับลดลง QoQ
  • NIM ปรับลดลงเล็กน้อยตามคาดที่ 15.5% จากอัตราผลตอบแทนสินเชื่อลดลง ขณะที่ต้นทุนดอกเบี้ยทรงตัว โดยมีอัตราส่วน ค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงาน (CIR) ลดลง QoQ ที่ 54.1% จากรายได้การดำเนินงานสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายการดำเนินงานลดลง จำนวนสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 1,708 แห่ง (+30 แห่ง QoQ) โดยสินเชื่อต่อสาขาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ ที่ 58.6 ล้านบาท
  • สินเชื่อใน 1Q24 เติบโตชะลอตัวที่ 2.7% QoQ (+20.6% YoY)
  • ด้านคุณภาพสินเชื่อ NPL ratio ปรับขึ้นเป็น 1.6% แต่ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1.4-1.8% และ Stage 2 ratio ทรงตัวที่ 16.5% ขณะที่ Coverage ratio ปรับลดลงที่ 264.1% แต่ถือว่ายังสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาดเดียวกัน
- Advertisement -