Daily Focus 2024: จับตา GDP 2Q24 ไทยวันนี้

SET Target : 1470

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวขึ้นได้แข็งแกร่ง ปิดบวก 13.16 จุด ที่ระดับ 1,303.00 จุด มูลค่าการซื้อขาย 3.6 หมื่นลบ. ตอบรับสถานการณ์การเมืองที่ผ่อนคลายขึ้นหลังสภาฯเลือก นายกฯคนที่ 31 สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 797 ลบ. และ 335 ลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติ Long Index Futures สูงถึง 2.2 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,295-1,310 จุด โดยกลุ่มพลังงานคาดว่าจะถ่วงตลาดหลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงแรงจากความคาดหวังเจรจาหยุดยิ่งในกาซา ขณะกาตาร์เรียกร้องให้อิหร่านระงับการโจมตีอิสราเอล ขณะที่สัปดาห์นี้ ต่างประเทศต่างโฟกัสสัมมนาประจำปีของ FED ที่ Jackson Hole ว่าพาวเวลจะมีการส่งสัญญาณแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยอย่างไร ส่วนปัจจัยในประเทศผ่อนคลายขึ้นหลังสถานการณ์การเมือง มีพัฒนาการในเชิงบวก โดยหลังจากได้นายกฯคนที่ 31 แล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งเราให้น้ำหนักที่รมว.คลังคนใหม่ รวมถึงความชัดเจนว่าจะเดินหน้านโยบาย Digital Wallet ต่อหรือจะมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการอย่างไร รวมถึงอนาคตของกองทุนวายุภักษ์ 1 ที่มี่แผนกลับมาขายหน่วยลงทุนอีกครั้ง ส่วนวันนี้จับตาตัวเลข GDP 2Q24 (ตลาดคาด +0.9% q-q, +2.1% y-y) ขณะที่กนง.จะมีการประชุมวันพุธนี้ เราคาดว่ายังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.5% อย่างไรก็ตาม หากตัวเลข GDP ออกมาต่ำกว่าคาด และมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข Digital Wallet ให้ใช้เม็ดเงินน้อยลงและเน้นที่กลุ่มเปราะบาง เราเชื่อว่าจะเปิดช่องมาก ขึ้นสำหรับกนง.ในการลดดอกเบี้ยในระยะถัดไป

กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 2H24 แข็งแกร่งต่อเนื่อง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้า ยังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว

หุ้นเด่นเดือน ศ.ค.: BA, CHG, CPALL, ITC, MAGURO

FSSIA Portfolio: AOT, CHG, CPALL, CPN, GPSC, HANA, KCG, KTB, SHR, SJWD, TU

หุ้นเด่น Finansia 19 ส.ค. 24 : KCG

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 12.80 บาท
  • หลังจากประกาศกำไร 2Q24 ดีกว่าคาด โมเมนตัม 2H24 คาดว่ายังแข็งแรงต่อเนื่องจาก High Season ของธุรกิจโดยเฉพาะ 4Q24 ประกอบกับโครงการ Logistic Park ที่จะเริ่มดำเนินงานจะช่วยลดต้นทุนการขส่งและการจัดเก็บสินค้า ชดเชยต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับขึ้นได้ 
  • เราคาดกำไรปกติปี 2024 ที่ 346 ลบ. +18% y-y ราคาหุ้นปัจจุบันเทรด PER ไม่แพงเพียง 14.5 เท่า และให้ Dividend Yield ในเกณฑ์ดีราว 3.7-4.2% ต่อปี นอกจากนี้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าคาดเป็นอีก Catalyst บวก
  • แนวรับ 9.60-9.50 บาท แนวต้าน 10-10.10//10.40 บาท 

Fund Flow : วันศุกร์กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคต่อเนื่องและเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยยะเป็น US$2,674 ล้าน นำโดยไต้หวัน US$1,642 ล้าน ตามด้วยเกาหลีใต้ US$967 ล้าน ส่วนอาเซียนเม็ดเงินไหลเข้าสูงสุดที่อินโดนีเซียเช่นเดิม US$49 ล้าน มีเพียงเวียดนามที่ไหลออกบางๆแนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังค่อนไปในทิศทางไหลเข้าแต่เบาบางลง ตลาดรอติดตามการแถลงของประธาน FED ที่สัมมนาประจำปีที่ Jackson Hole ประเด็นสำคัญวันนี้

(0) SAWAD หุ้นตอบรับในเชิงบวกหลังประชุมนักวิเคราะห์ เพราะ 1) การทำความเข้าใจเรื่องคดีที่ไป DSI ซึ่ง SAWAD ก็ยังไม่ได้รับแจ้งข้อกล่าวหา 2) การขาดทุนรถยึดมีแนวโน้มลดลง บริษัทได้แหลงเงินใหม่ ทำให้จากนี้ถึง พ.ย. ไม่ต้องออกหนุเพิ่ม ขณะที่ด้าน negative การเติบโตสินเชื่อจะแค่ 10% Y-Y ส่วน spread มี downside เราปรับลดประมาณการปี 2024 ลง 2-3% ได้ราคาเป้าหมายใหม่ 37 บาท คงแนะนำ “ถือ”

(+) BTG เข้าซื้อธุรกิจไข่ในสิงคโปร์ สัดส่วน 75% ด้วยมูลค่าลงทุน 2.1 พันลบ. คาดดีลจะแล้วเสร็จ และเริ่มรวมงบตั้งแต่ 1Q25 เป็นต้นไป อาจสร้างกำไรส่วนเพิ่มให้ BTG ราว 5% ไม่รวม Synergy ที่จะเกิดขึ้นในระยะถัดไป แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงจากความผันผวนของต้นทุนการเลี้ยง ราคาไข่ และการเปลี่ยนแปลงราคาแม่พันธุ์ และสินค้าเกษตรอื่นๆ ต่อไป ราคาเป้าหมาย 23 บาท ยังแนะนำ “ถือ”

(+) MASTER เราปรับลดกำไรปี 2024 ลง 15% สะท้อนกำไร 2Q24 ที่ต่ำกว่าคาด จากค่าใช้จ่ายสูงขึ้น และส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมน้อยกว่าคาด แต่ 2Q24 อาจเป็นจุดต่ำสุดของปี และคาดกำไร 2H24 จะเร่งตัวขึ้นด้วยแรงหนุนจาก High season ของการทำศัลยกรรม การเริ่มรับรู้รายได้จาก IPD และคาดส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมขยับขึ้นสู่ไตรมาสละ 12-15 ลบ.ใน 2H24 จาก V Square ที่คาดพลิกมีกำไรเล็กน้อยตั้งแต่ 3Q24 เป็นต้นไป ราคาหุ้นปรับลงแรง สะท้อนกำไรที่ต่ำกว่าคาดไปแล้ว ราคาเป้าหมายใหม่ 52 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(+) NEO แนวโน้ม 2H24 จะโตต่อจาก 1H24 จากทั้งในและต่างประเทศ บริษัทยังคงเป้ารายไฉพาะสินค้ากลุ่ม Siver age ได้รับการตอบรับที่ดี สวนต่างประเทศได้ลูกค้ารายใหม่ในประเทศอื่นราว 7 ประเทศเพิ่ม เราคาดกำไร 3Q24 จะเติบโต q-q แต่น่าจะลดลง Y-Y เพราะฐานกำไรที่สูงใน 3Q23 และจะกลับมาโต y-y ใน 4Q24 ยังคาดกำไรปี 2024 ที่ 1 พันลบ. +22% y-y คงราคาเป้าหมาย 64 บาท แนะนำ “ซื้อ”

(+) STGT ผู้บริหารให้ภาพปริมาณขายถุงมือจะสูงขึ้นกลับมาตามแผนใน 2H24 ส่วนราคาขายน่าจะทรง q-q ได้ บริษัทยังคงเป้าการขายทั้งปีที่ 4.1 หมื่นล้านชิ้น แนวโน้มราคาขาย 3Q24 ยังดูดี อาจทรงตัว q-q ได้ เบื่องต้นคาดแนวโน้มกำไร 3Q24 จะปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง และหากเรือคลี่คลายได้เร็ว สามารถส่งมอบได้เกิน 1 หมื่นล้านชิ้นใน 4Q24 อาจหนุนให้กำไรขึ้นต่อใน 4Q24 ก็เป็นไปได้ แนะนำ “เก็งกำไร”

(+) STA โทนบวก ไฮไลท์คือ สัดส่วนการขายยาง EUDR ที่เพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง ช่วยหนุนราคาขาย์ขูยับขึ้นตาม คาด 3024 ปริมาณขายยางรวมทรงตัวที่ 3.2-3.3 แสนตัน แต่จะขายเป็น EUDR เพิ่มขึ้นเป็น 15-20% หรือราว 5-6 หมื่นตัน ซึ่งปัจจุบันราคาขายยาง EUDR สูงกว่าราคา Sicom โดยเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 17-20% โดยราคา EUDR ยังถูกกำหนดด้วย Cost plus + มาร์จิ้น 15% จึงคาดราคาขายเฉลี่ย 3024 จะปรับขึ้น 4-7% q-q และคาดกำไร 3Q24 จะปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง

(0) ILINK เนื่องจากกำไรที่ต่ำผิดคาดของ ITEL ทำให้เราปรับลดประมาณการกำไรของ ITEL ปี 2024-25 ลง 7% และ 4% และปรับราคาเป้าหมายของ ITEL ลงเป็น 3.40 บาท สำหรับปี 2024 เราคงประมาณการเดิมที่ 503 ล้านบาท เราปรับเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ Engineer ซึ่งชดเชยรายได้จาก ITEL ที่ลดลงได้ สำหรับปี 2025-26 เราปรับลดกำไรปกติของ ILINK ลง 8% และ 5% ตามลำดับ จากการปรับลดรายได้ที่มาจาก ITEL และปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 7.20 บาท แนะนำ “ซื้อ” เพื่อ Div. Yield ปีละ 5%

(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 96.70 จุด หรือ +0.24% ปิดที่ 40,659.76 จุด และปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์เป็นเปอร์เซ็นต์มากที่สุดในรอบปีนี้ หลังนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ และมุ่งความสนใจไปที่การ สัมมนาด้านเศรษฐกิจที่แจ็กสันโฮลในสัปดาห์หน้า

(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก และปรับตัวขึ้นเป็นรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบ 3 เดือน ขณะที่นักลงทุนทั่วโลกมีความเชื่อมั่นในการลงทุนมากขึ้นหลังการเปิดเผย ข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐ แต่จุดสนใจของนักลงทุนในขณะนี้อยู่ที่การกล่าวสุนทรพจน์ของประธานเฟด ที่แจ็กสันโฮลในสัปดาห์หน้า

(-) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดลบ หลังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างสัปดาห์นี้จะมีประเด็นที่ต้องติดตามคือ ผลการประชุมนโยบายทางการเงินของเกาหลีใต้ รวมถึงรายงานเงินเฟ้อของญี่ปุ่นและสิงคโปร์

(+) ค่าเงินบาท แข็งค่าแรง อยู่ที่บริเวณ 34.61 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -1.38%

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 1.51 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 76.65 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่แทบไม่เปลี่ยนแปลงในรอบสัปดาห์นี้ และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ลดต่ำกว่าระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่นักลงทุนลดคาดการณ์เกี่ยวกับการขยายตัวของอุปสงค์จากจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ ในขณะที่เช้านี้ลบอยู่ที่ระดับ 76.36 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.38%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 45,40 ดอลลาร์ หรือ 1.82% ปิดที่ 2,537.80 ดอลลาร์/ออนซ์ และปรับตัวขึ้น 2.8% ในรอบสัปดาห์นี้ โดยได้แรงหนุนจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงจากการคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้นว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนก.ย. นอกจากนี้ ความดึงเครียดในตะวันออกกลางได้หนุนความ ต้องการทองคำด้วย ในขณะที่เช้านี้ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 2,537.00 ดอลลาร์/บาร์เรลหรือ -0.03%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 854.97/ +0.85%

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

19 ส.ค.ไทย: GDP growth (2Q24)
20 ส.ค.แคนนาดา: เงินเฟ้อ (ก.ค.)

Ãw: Loan Prime Rate 1Y

21 ส.ค.ไทย: ประชุม กนง.
22 ส.ค.สหรัฐ: FOMC Minutes
23 ส.ค.ญี่ปุ่น: เงินเฟ้อ (ก.ค.)

ไทย: ยอดขายรถยนต์ (ก.ค.)

สหรัฐ: Jackson Hold Symposium

- Advertisement -