KS Daily View 04.03.2025 >>> ทรัมป์เดินหน้าขึ้น Tariffs SET ทำจุดต่ำสุดใหม่ มองกรอบ SET วันนี้ 1,160-1,200 จุด หุ้นแนะนำ TLI, OR
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงแรง โดย Dow Jones ลดลง 1.48%, S&P 500 ลดลง 1.76% และ Nasdaq Composite ลดลง 2.64% หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ออกมายืนยันว่าจะเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% ตั้งแต่วันอังคารนี้ โดยไม่มีการเลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงแผนการ และยังประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนอีก 10% ด้านนอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอกว่าคาด เช่น ดัชนี ISM Manufacturing ที่ลดลง แต่ราคาต้นทุนสูงขึ้นสร้างความกังวลภาวะ Stagflation และการที่ เฟดสาขาแอตแลนต้า ปรับคาดการณ์ GDP 1Q25 ติดลบ 2.8% QoQ โดยล่าสุดมีการปรับ Consumption จากเติบโต 1.3% QoQ เป็นFlat QoQ โดยกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวลงแรงเป็นกลุ่ม Growth อย่าง Technology, Discretionary และ Communication Services และยังมีกลุ่ม Energy อีกด้วยหลัง OPEC+ ตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิต
ตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,188.41 จุด ลดลงราว 15 จุด (-1.27%) ในขณะที่ตลาดในภูมิภาคแกว่งตัวแคบ แรงกดดันหลักยังมาจาก Earnings ที่ภาพรวมต่ำกว่าคาดและยังถูกปรับประมาณการลงต่อ ทำให้ SET ทำจุดต่ำสุดใหม่นับตั้งแต่ช่วงหลัง Covid ที่ระดับ 1,195 แรงขายสุทธิมาจากนักลงทุนต่างชาติที่ราว 1,523 ล้านบาท โดยหุ้นใหญ่อย่างกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ค้าปลีก ปิโตร สื่อสาร และขนส่ง ปรับตัวลง ในขณะที่กลุ่มธนาคาร การเงิน ประกัน และ SCC ปรับตัวขึ้น ประเมิน SET มีแรงกดดันต่อเนื่องจากการที่สหรัฐฯ เดินหน้าบังคับใช้ Tariffs กับแคนาดาและเม็กซิโก รวมถึงจีน มองปรับตัวลงต่อโดยประเมินกรอบวันนี้ที่ 1,160 – 1,200 หุ้นแนะนำเป็น TLI, OR
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1. ทรัมป์ประกาศจะเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกตั้งแต่วันอังคารนี้ โดยจะเก็บภาษี 25% กับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากทั้งสองประเทศ ยกเว้นพลังงานจากแคนาดาที่จะเก็บ 10% นอกจากนี้ยังได้ลงนามคำสั่งเพิ่มภาษีสินค้าจีนเป็น 20% โดยอ้างว่าจีนไม่ได้ดำเนินการเพียงพอในการแก้ปัญหาเฟนทานิล โดยแคนาดาเตรียมตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ มูลค่า 20.75 พันล้านดอลลาร์ทันที และอีก 86.4 พันล้านดอลลาร์ในอีก 3 สัปดาห์ต่อมา
2. จีนกำลังพิจารณามาตรการตอบโต้สินค้าเกษตรและอาหารจากสหรัฐฯ หลังจากที่ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเป็น 20% ตามรายงานของ Global Times สื่อที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน ส่งผลให้ราคากากถั่วเหลืองในจีนพุ่งขึ้นเกือบ 3% สูงสุดในรอบกว่า 3 สัปดาห์ เนื่องจากความกังวลว่าการนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ อาจหยุดชะงัก โดยจีนเคยตอบโต้การขึ้นภาษีของทรัมป์ในสมัยแรกด้วยการขึ้นภาษีสินค้าเกษตรสหรัฐฯ รวมถึงถั่วเหลือง ทำให้ยอดขายถั่วเหลืองสหรัฐฯ ไปจีนลดลงเกือบ 80% ในช่วงสองปี และจีนหันไปซื้อจากบราซิลแทน
3. กิจกรรมภาคการผลิตของสหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ชะลอตัวลง โดยดัชนี ISM Manufacturing ลดลง 0.6 จุด เหลือ 50.3 ขณะที่ดัชนีราคาพุ่งขึ้น 7.5 จุด สู่ระดับ 62.4 ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 คำสั่งซื้อใหม่หดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ตุลาคม 2024 และการจ้างงานลดลง สะท้อนว่าผู้ผลิตกำลังเผชิญแรงกดดันด้านราคาและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีนำเข้า โดยเฉพาะการขึ้นภาษี 25% กับเม็กซิโกและแคนาดาซึ่งเป็นคู่ค้ารายสำคัญ
4. OPEC+ ตัดสินใจเพิ่มการผลิตน้ำมันหลังจากเลื่อนมาหลายครั้ง โดยซาอุดีอาระเบียและรัสเซียซึ่งเป็นผู้นำกลุ่ม OPEC+ จะเพิ่มกำลังการผลิต 138,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนเมษายน เป็นส่วนหนึ่งของแผนที่จะทยอยเพิ่มการผลิตรวม 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2026 แม้ว่าตลาดน้ำมันโลกกำลังเผชิญภาวะอุปทานล้นตลาดราว 450,000 บาร์เรลต่อวันในปีนี้ จากการผลิตที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ บราซิล แคนาดา และกายานา ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 เดือน
5. กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอ ครม.วันที่ 11 มี.ค. เพื่อขอความเห็นชอบให้ สนข. จัดทำร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ ขณะที่รมว.คมนาคมสั่งเร่งจัดทำ TOR ให้แล้วเสร็จภายในปี 2569 เพื่อเปิดประมูลงานก่อสร้างระยะที่ 1 วงเงิน 522,844 ล้านบาท ในรูปแบบ PPP ให้เอกชนลงทุนและบริหาร 50 ปี โดยมีทั้งบริษัท China Harbor Engineering และ Dubai Port World แสดงความสนใจลงทุนในโครงการ
Daily pick
TLI: ราคาเป้าหมาย 13.80 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ TLI ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาวจากการใช้มาตรฐานบัญชี TFRS 17 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการแข่งขันด้านราคา เนื่องจากบริษัทประกันต้องบันทึกผลขาดทุนจากผลิตภัณฑ์ที่มีกำไรต่ำ ทำให้บริษัทต่างๆ หันมาเน้นเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น TLI ตั้งเป้าให้มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เติบโตในระดับเลขสองหลักในปี 2568 ด้วยกลยุทธ์การขยายช่องทางการขายและเน้นขายผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง เช่น ประกันคุ้มครองและประกันสุขภาพ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ผลประกอบการอาจถูกกดดันจากความต้องการประกันสะสมทรัพย์และผลกระทบจากดอกเบี้ยที่ลดลง แต่ TLI ยังมีโอกาสชดเชยได้ด้วยยอดขายของสินค้าที่เน้นอัตรากำไรสูง โดยรวมเรามองว่าการปรับกลยุทธ์และสภาพการแข่งขันที่ลดลงจะช่วยสนับสนุนศักยภาพการเติบโตในระยะยาว และยังเป็นโอกาสในการลงทุนสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม
OR: ราคาเป้าหมาย 14.30 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ OR ซึ่งมี Trigger point จากการที่บริษัทตั้งเป้าเชิงรุกเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจาก 34-35% มาอยู่ที่ 39% ภายในสิ้นปี 2568 โดยได้แรงหนุนจากแคมเปญการตลาดเชิงรุกที่จะปรับตามความเหมาะสมตลอดทั้งปี คาดว่าค่าใช้จ่ายการตลาดจะเพิ่มขึ้นประมาณ 200-300 ล้านบาท แต่จะถูกชดเชยจากมาตรการลดค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกประมาณ 2-3 พันล้านบาทในปี 2568 จากค่าใช้จ่ายส่วนเกินต่างๆ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ลงได้ประมาณ 2.5 พันล้านบาท นอกจากนี้ ในปี 2568 คาดว่าจะมีการตั้งสำรองของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักน้อยลงกว่าปีก่อน รวมถึงธุรกิจMobility ในส่วน Commercial ยังคงได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ส่งผลให้ยอดขายของน้ำมันเครื่องบิน (Jet fuel) ยังเติบโตได้ต่อเนื่องในปี 2568 นี้
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
วันอังคาร ติดตามดัชนีรายงานความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของญี่ปุ่นเดือน ก.พ. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 35.2 จุด และการรายงานตัวเลขอัตราการว่างงานของสหภาพยุโรป (EU unemployment rate) เดือน ม.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 6.3%
วันพุธ ติดตามตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการของจีน (Caixin Services PMI) เดือน ก.พ. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 51.0 จุด ต่อด้วยตัวเลขเงินเฟ้อของไทย (TH inflation) เดือน ก.พ. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ +1.32% YoY และเงินเฟ้อไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน (TH Core CPI) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ +0.83% YoY ปิดท้ายด้วยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการของสหรัฐ (ISM Services PMI) ) เดือน ก.พ. ตลาดคาดการณ์ที่ 53.0 จุดปรับตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 52.8 จุด
วันพฤหัสฯ ติดตามนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB Main Refinancing Rate) ตลาดคาดการณ์ว่าคณะกรรมการจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จากครั้งก่อนหน้า ต่อด้วย ตัวเลขจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของ สหรัฐ (Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.42 แสนตำแหน่ง
วันศุกร์ ติดตามตัวเลขเศรฐกิจของสหรัฐ การจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm payrolls) เดือน ก.พ. ตลาดคาดการณ์ที่ 1.55 แสนตำแหน่งเร่งตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 1.43 แสนตำแหน่ง ต่อด้วยตัวเลขอัตราการว่างงาน (Unemployment rate) เดือน ก.พ. ตลาดคาดการณ์ที่ 4.0% ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า