บล.กรุงศรีฯ:
KSS Strategist Comment: BOT Policy Update: “การเข้าสู่วงจรผ่อนคลายดอกเบี้ย ภายใต้ความเสี่ยงจาก Geopolitics และ Risk-Off Flow เปิดโอกาสการลงทุนภายในภายใต้ราคาสินทรัพย์ที่ Under-Value รอบใหม่”
Core Message:
“ธปท. (BOT) ส่งสัญญาณชัดเจนว่านโยบายดอกเบี้ยได้เข้าสู่ช่วงผ่อนคลาย (Easing Cycle) แล้ว โดยแรงกดดันหลักมาจากความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกในระยะกลาง-ยาว จากนโยบาย Tariffs ของสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มกระทบเศรษฐกิจโลกมากกว่าประเทศเป้าหมายอย่างจีนเอง”
Key Facts จากรายงาน BOT:
1. นโยบาย Tariffs ของสหรัฐฯ มี 2 Scenario หลัก
• Base Case (ภาษีเท่าเทียม 10% เท่ากัน, จีนเหลือ 54%): GDP ไทยปี 2025-26 อ่อนลงสู่ 2.0% และ 1.8% (จาก 2.5% ปี 2024) โดยไม่กระทบศักยภาพแข่งขันส่งออก
• Worst Case (ภาษีเท่าเทียม&จีนลดครึ่งเดียว): ไทยสูญเสียความสามารถแข่งขัน GDP 2025-26 จะชะลอลงชัดเจนเหลือเพียง 1.3% และ 1.0% ตามลำดับ
2. เงินเฟ้อเข้าสู่โซนต่ำกว่าเป้าหมายต่อเนื่อง (เฉลี่ยเพียง 0.5%-0.8%)
• ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบ $60-$71 ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ KSS ที่ใช้ฐาน $70 ต่อบาร์เรล
3. BOT เริ่มเปิด Policy Space เชิงรุก
• หากไม่มี shock เพิ่มเติม ประเมินกรอบดอกเบี้ยนโยบายไทยปี 2025-26 มีโอกาสลดลงกรอบ 1.25%-1.00%
• หากลด -25bps แต่ละครั้ง ประเมินจะหนุน SET Index ได้ราว +45 ถึง +50 จุด
Tactical Calls : คาด SET ยังคงเดินหน้าไปพักตัวกรอบ 1200-1225/1250จุด เพื่อประเมินปัจจัยใหม่
1. Thailand Equity Risk Premium (ERP) ณ ปัจจุบัน: 4.95%
• สะท้อนความกลัวเชิงนโยบายจนราคาหุ้นลงมาต่ำใกล้ค่าเฉลี่ย +2 S.D. ของ Valuation
• ตลาดไทย -15.5% YTD คือระดับ Underperform แถวหน้าของโลก ซึ่งน่าจะสะท้อน Worst-Case Trade War Premium ไปมากแล้ว
2. Trigger หลักที่จะ Re-rate ตลาดในระยะถัดไป
• Trade Deal Outcome: หากไทยได้รับเกณฑ์ภาษีเท่าเทียมกับประเทศอื่น จะเปิด Upside ต่อธีม Reopening Trade ที่โดนแรงขายต่อเนื่องก่อนหน้า เช่น (HANA, CPF, GFPT, WHA, AMATA)
• Fiscal Switch: จากบริโภคสู่การลงทุนโครงสร้าง จะหนุนธีม Domestic & Infrastructure : SCC, CK, STECON, AOT, CPALL, BJC, HMPRO
3. Monetary Easing Momentum – จุดเปลี่ยนชัดเจนสุด
• กลุ่มที่อิงกับต้นทุนเงินลดลงชัดเจนจะได้ประโยชน์ทันที: GULF, GPSC, MTC, SAWAD, JMT, AP, LH, MINT, ADVANC