บล.กสิกรไทย:
NEO : ควบคุมต้นทุนดีขึ้น แต่ยังไม่มั่นใจเรื่องการโตของรายได้
- คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 228 ลบ. (-15% YoY และ -5% QoQ) จาก GPM ที่ลดลงจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น หรือคิดเป็น 31.9% ของประมาณการก่อนทบทวนของเราที่ 715 ลบ.
- สถิติการดำเนินงาน เราคาดว่ายอดขายไตรมาส 1/2568 จะอยู่ที่ 2,617 ลบ. เพิ่มขึ้น 5.9% YoY จากยอดขายสินค้ากลุ่มแม่และเด็กและ personal care ที่สูงขึ้น แต่ลดลง 1.6% QoQ จากช่วงโลว์ซีซั่นของการขายในไตรมาสแรก เราคาดว่า GPM ไตรมาส 1/2568 จะอยู่ที่ 41.4% เทียบกับที่ 45.9% ในไตรมาส 1/2567 และ 42.8% ในไตรมาส 4/2567 จากต้นทุนสารลดแรงตึงผิวที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมันเมล็ดปาล์ม
- แนวโน้ม มุมมองของเราต่อแนวโน้มการเติบโตของ NEO คละกัน ในเชิงบวก การควบคุมต้นทุนในไตรมาส 1/2568 เพื่อรองรับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นออกมาดีกว่าที่เราคาดไว้เนื่องจากคาดการณ์เดิมของเราคาดว่า GPM ไตรมาส 1/2568 จะอยู่ที่ 39.8% (ราคาน้ำมันเมล็ดปาล์มเพิ่มขึ้น 32% QTD) เทียบกับประมาณการปัจจุบันที่ 41.4% นอกจากนี้ บริษัทฯ ขยายระยะเวลาในการรับรู้ค่าเสื่อมราคาเพิ่มเติมจากโรงงานผลิตใหม่จาก 30 ปี เป็น 45.8 ปี ดังนั้น ขณะนี้ เราจึงคาดว่าค่าเสื่อมราคาส่วนเพิ่มจะลดลงในปี 2568 เป็น 100 ลบ. เทียบกับคาดการณ์เดิมของเราที่ 133 ลบ. ในเชิงลบ เราคาดว่าแนวทางการเติบโตของรายได้ของผู้บริหารที่ 10-15% นั้นน่าท้าทายเนื่องจากคาดรายได้ไตรมาส 1/2568 จะเติบโตขึ้น 5.9% จากการบริโภคในประเทศที่อ่อนแอและการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในตลาด FMCG ขณะที่ปัจจัยลบจากการบริโภคของภาคเอกชนที่ลดลงยังคงอยู่
- ปรับประมาณการกำไร เพื่อสะท้อนการควบคุมต้นทุนที่ดีขึ้นและค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่น้อยกว่าคาด เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2568/69/70 ขึ้น 25%/5.9%/2.5%
- ประการแรก เราปรับเพิ่มประมาณการ GPM ปี 2568/69/70 ขึ้นจาก 40.4%/43.2%/43.8% เป็น 41.4%/43.8%/44.3%
- ประการที่สอง เราปรับลดประมาณการค่าเสื่อมราคาปี 2568-69/70 ลง 6.4%/3.8%/11.4% เป็น 478 ลบ./605 ลบ./651 ลบ.
มุมมอง KS
- แนะนำ “ถือ” และ TP ที่ 34.61 บาท มูลค่าหุ้นสมเหตุสมผลด้วย PER ปี 68/69 ที่แค่ 10.8/9.4 เท่า เทียบกับ CAGR 4 ปี ที่ 9.2% เป้ารายได้ของผู้บริหารยังน่าท้าทาย