BKA เคาะจ่ายปันผล 0.06 บาท จ่อ XD 26 พ.ค.นี้ ประกาศรุกให้บริการขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ชูกลยุทธ์ Quality Growth ทั้งทำเล-ราคา-บริการหลังการขาย
บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป (“BKA”) เผยบอร์ดไฟเขียว อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานสะสม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท เตรียมขึ้น XD วันที่ 26 พ.ค.นี้ เพื่อจ่ายปันผล วันที่ 9 มิ.ย. 68 พร้อมประกาศเดินหน้ารุกธุรกิจขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ เน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Quality Growth) ด้าน CEO “พชร ธนวงศ์เกษม” ระบุ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะชะลอตัวฉุดกำลังซื้อหด แต่บริษัทฯ ยังสามารถปั้นผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 ออกมาเป็นบวกด้วยรายได้จากการขายและบริการ 189.83 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 3.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,089% (YoY)
นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA ผู้นำบริการซื้อ-ขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานสะสม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 27 พ.ค. 2568 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD)ในวันที่ 26 พ.ค.2568 เพื่อดำเนินการจ่ายปันผล วันที่ 9 มิ.ย. 2568 นี้
ขณะที่ปัจจัยภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และความไม่แน่นอนของมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐแต่บริษัทฯ ยังสามารถฝ่าวิกฤตและทำกำไรได้ โดยโชว์ผลงานไตรมาส 1/2568 ออกมาเป็นบวก โดยมีรายได้จากการขายและบริการที่ 189.83 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,089% เมื่อเทียบจากปีก่อน(YoY) ซึ่งสะท้อนให้เห็นศักยภาพความแข็งแกร่งจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ
“สำหรับสัดส่วนรายได้จากยอดขายในไตรมาส มาจาก 3 กลุ่มให้บริการ แบ่งเป็น 1.ธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping) มีรายได้จากการขาย 156.01 ล้านบาท 2. ธุรกิจบ้านฝาก มีรายได้จากการขาย 0.91 ล้านบาท และ 3. ธุรกิจบ้านตัด มีรายได้จากการขาย 32.91 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ ไตรมาส 1/2568 มียอดขายบ้าน รวม 34 หลัง”
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นในการรักษาคุณภาพของบ้าน รวมถึงปรับกลยุทธ์การกำหนดราคาให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยต่อหลังของบ้านที่จำหน่ายในทุกประเภทธุรกิจปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน สะท้อนถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค และการกำหนดราคาที่มีประสิทธิภาพท่ามกลางตลาดที่ชะลอตัว
จากกลยุทธ์การลงทุนเพื่อรีโนเวทบ้าน การคัดเลือกทำเล และการบริการหลังการขายที่มีมาตรฐาน แม้จำนวนหน่วยขายจะลดลง แต่บริษัทไม่เน้นการลดราคา หรือเร่งขายในระยะสั้น เพราะให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Quality Growth) พร้อมกับเดินหน้าปรับกลยุทธ์การตลาด อย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมรับมือกับการฟื้นตัวของตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายมุ่งเน้นความสำคัญด้านการรักษาคุณภาพ ความคุ้มค่า และผลตอบแทนในระยะยาว ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของแนวทางการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน