บล.กสิกรไทย:
SCC : ความไม่แน่นอนยังคงสูงในครึ่งหลังปี 2568
- SCC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ที่ 1.10 พันลบ. (กำไรต่อหุ้น: 0.92 บาท) พลิกจากผลขาดทุนสุทธิที่ 512 ลบ. ในไตรมาส 4/2567 แต่ลดลง 55% YoY กำไรสูงกว่าที่เราและตลาดคาดการณ์ไว้ถึง 57% หรือประมาณ 400 ลบ.
- มุมมองโดยรวมของผู้บริหาร: ผู้บริหาร SCC มองว่าครึ่งหลังของปี 2568 จะเผชิญความท้าทายมากกว่าสามปีที่ผ่านมา เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลกและกระแสการค้าระหว่างประเทศ แม้ว่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยตรงของ SCC จะคิดเป็นเพียง 1% ของรายได้รวม ทั้งนี้ ในภาวะที่การค้าโลกยังมีความไม่แน่นอน SCC จะให้ความสำคัญกับการลดภาระหนี้ การรักษาเสถียรภาพของกระแสเงินสด และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ไปจนถึงการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ
- ธุรกิจปิโตรเคมี: อัตราการดำเนินงานของ SCC สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 70% เนื่องจากมีห่วงโซ่ธุรกิจที่ลงไปถึงผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (HVA) ผู้บริหารเชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมีได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานที่ต่ำกว่า 70% จะไม่คุ้มทุนที่จะดำเนินการต่อ สำหรับโครงการ LSP ส่วนต่างราคาโอเลฟินในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่คุ้มค่าสำหรับการกลับมาเดินเครื่องผลิต แต่ต้องใช้เวลา 1 เดือนในการจัดหาวัตถุดิบและต้องมีคำสั่งซื้อที่แน่นอนอย่างน้อย 70% ของกำลังการผลิตสำหรับช่วง 3 เดือนข้างหน้า เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2–3 เดือน โดยความล่าช้าในการเริ่มดำเนินการของกำลังการผลิตใหม่ถือเป็น upside ที่สำคัญ
- ธุรกิจ CBM: กลยุทธ์ซีเมนต์คาร์บอนต่ำช่วยให้ SCC สามารถเพิ่มราคาและอัตรากำไรได้ ซึ่งจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ไตรมาส 2/2568 ขณะที่ผู้ผลิตซีเมนต์ทั้งหมดหลีกเลี่ยงสงครามราคา เนื่องจากยังไม่มั่นใจในอุปสงค์ภายในประเทศที่ส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดยภาครัฐ สำหรับกลุ่มวัสดุก่อสร้าง คาดว่าการแข่งขันจะอยู่ในระดับสูงต่อไป 1–3 ปี เนื่องจากมีสินค้าราคาถูกจากจีนเข้ามาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจำเป็นต้องปรับปรุงประสิทธิภาพโดยตั้งเป้าลดต้นทุนลง 40%
- ธุรกิจบรรจุภัณฑ์: ธุรกิจบรรจุภัณฑ์เป็นกลุ่มที่เชื่อมโยงกับการบริโภคและมีแนวโน้มเติบโตที่แข็งแกร่ง อีกทั้ง ยังได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจากการปรับขึ้นราคาสินค้าในประเทศอินโดนีเซีย ขณะที่ต้นทุนการผลิตของ SCC ในกลุ่มประเทศอาเซียนยังคงสามารถแข่งขันได้เมื่อเทียบกับผู้ผลิตจากจีน อย่างไรก็ตาม SCC จำเป็นต้องปรับเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้โดยปรับไปผลิตที่ฐานการผลิตที่เหมาะสมเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้
- ประเด็นอื่น ๆ: ค่าความนิยมติดลบของ Chandra Asri จะช่วยเพิ่มกำไรที่ไม่ใช่เงินสด และสนับสนุนการจ่ายเงินปันผลของ SCC ในขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับผู้ใช้อุตสาหกรรมมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงตามโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติใหม่ในประเทศ ซึ่งคาดจะเริ่มมีผลกระทบในปีหน้า แต่ SCC ได้กระจายแหล่งเชื่อเพลิงเพื่อรองรับสถาวะดังกล่าวแล้ว
- แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย ที่ 155.00 บาท เพื่อรอจังหวะการขายทำกำไรที่เหมาะสม คาดว่าไตรมาส 2/68 จะเป็นไตรมาสที่มีกำไรสูงสุดของปี