Daily Focus: โฟกัสยังอยู่ที่สงครามอิสราเอล-อิหร่าน
ตลาดหุ้นวานนี้: SET Index ปรับตัวลงในช่วงเช้า ก่อนที่จะฟื้นตัวได้ช่วงเปิดตลาดภาคบ่าย อย่างไรก็ตามมีแรงขายออกช่วงท้ายตลาดกดดันดัชนีปิดลบอีก 8.21 จุด ที่ระดับ 1,114.49 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.1 หมื่นลบ. ภาพรวมดัชนีถูกถ่วงโดย AOT จากประเด็นแก้ไขสัญญากับ King Power สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นหนาแน่น 934 ลบ. และ 3.5 พันลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติพลิกมา Short Index Futures สุทธิ 3.3 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้: เราคาด SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,105-1,125 จุด โดยประเด็นที่ตลาดจับตายังอยู่ที่สถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน โดยล่าสุดมีสัญญาณว่าอิหร่านพร้อมจะเจรจา อย่างไรก็ตาม ล่าสุดทรัมป์ประกาศอพยพบุคลากรในเตหะราน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบแกว่งตัวผันผวน โดยปรับตัวลงเมื่อคืนที่ผ่านมา ก่อนดีดตัวขึ้นเช้านี้ โดยล่าสุด Brent อยู่ที่ US$74 ต่อบาร์เรล ทำให้กลุ่มพลังงานต้น-กลางน้ำคาดว่ายังช่วยพยุงตลาดได้บ้าง ขณะที่วันนี้ติดตามตัวเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เดือน พ.ค. (ตลาดคาด -0.7% m-m) ก่อนการประชุม FED คืนพรุ่งนี้
ด้านปัจจัยในประเทศ: วานนี้นายกฯ ประชุมกับคุณอนุทินขอกระทรวงมหาดไทยคืนกลับมาที่พรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตามคุณอนุทินยืนยันว่าจะทำงานในตำแหน่งเดิม ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ผลการปรับ ครม. สุดท้ายอีกครั้ง ว่าจะทำให้เสถียรภาพภายในรัฐบาลดีขึ้นได้หรือไม่
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังค่อนข้างขาดปัจจัยบวก โดยเฉพาะโมเมนตัมเศรษฐกิจที่แผ่วใน 2Q25 และอาจต่อเนื่องใน 3Q25 ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลค่อนข้างล่าช้า จึงยังเน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่มีประเด็นหนุนเฉพาะตัว ได้แก่ กลุ่มพลังงานต้นน้ำ รวมถึง Defensive Play ท่ามกลางความเสี่ยงและไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการเมือง
กลยุทธ์: ยังเน้นเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 2Q25-2025 แข็งแกร่งและมีความแน่นอนของกำไรสูง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
หุ้นเด่นเดือน มิ.ย.: CPALL, MTC, OSP, SJWD, STECON
FSSIA Portfolio: BA, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, PR9, STECON
หุ้นเด่น Finansia 17 มิ.ย. 25 : BDMS
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 36.50 บาท
- เราประเมินแนวโน้มกำไร 2Q25 แม้จะชะลอ q-q จากปัจจัยฤดูกาล แต่คาดยังเติบโตได้แข็งแรง y-y โดยโมเมนตัมรายได้ในเดือน พ.ค. ดีขึ้นเป็นเติบโตราว +6% y-y เทียบกับเดือน เม.ย. ที่ราว 4% y-y
- เราคาดกำไรปกติปี 2025 ที่ 1.76 หมื่นลบ. +10% y-y ขณะที่ผู้บริหารยังทยอยซื้อหุ้นเพิ่มต่อเนื่องช่วงที่ราคาปรับลง มองเป็น Sentiment บวกต่อราคาหุ้น
- แนวรับ 21-20.80 บาท แนวต้าน 21.60//22 บาท
Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติโดยรวมไหลออกจากภูมิภาคสุทธิ US$308 ล้าน เม็ดเงินไหลออกเกือบทุกประเทศ โดยสูงสุดที่เกาหลีใต้ US$151 ล้าน ตามด้วยไทย US$109 ล้าน มีเพียงเวียดนามที่ไหลเข้า US$38 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ายังผันผวน โดยต้องติดตามสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน หลังมีสัญญาณว่าฝั่งอิหร่านพร้อมจะเจรจา ขณะที่ทรัมป์ล่าสุดสั่งอพยพคนในเตหะราน
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) กลุ่มเนื้อสัตว์: สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหมูหน้าฟาร์มไทยปรับลงเหลือ 80 บาท/กก. จาก 82 บาท/กก. ในสัปดาห์ก่อน และลง -4% m-m จาก OAE ราคาไก่มีชีวิตทั้งตัวทรงตัวที่ 40-42 บาท/กก. ส่วนราคาหมูจีนล่าสุดอยู่ที่ 14 หยวน/กก. -4% m-m, -11% YTD มีเพียงราคาหมูเวียดนามที่ทรงตัวระดับ 6.8-7 หมื่นด่อง/กก. แนวโน้มกำไร 2Q25 ยังดูดี เพราะราคาเนื้อสัตว์ทรงตัวสูงในเดือน เม.ย.-พ.ค. ขณะที่อ่อนลงในเดือน มิ.ย. ยังมาจากฝนที่มาก และ demand โดยรวมไม่สดใส แต่หากยังปรับลงต่อจะทำให้ผลประกอบการใน 2Q25 กลายเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ ราคาเนื้อสัตว์ที่ปรับลงทำให้ความน่าสนใจในกลุ่มเนื้อสัตว์ลดลง และจะทำให้โมเมนตัมของกำไรในช่วง 2H25 ปรับลดลง
(-) GFPT: คาดปริมาณการส่งออก 2Q25 ที่ 8,500 ตัน ชะลอตัว 2.3% q-q และ 5.6% y-y เนื่องจากลูกค้ายุโรปสะสมสต๊อกอย่างมีนัยสำคัญในปีก่อน และไม่ได้ประโยชน์จากคู่แข่งบราซิลที่ถูก ban ส่วนแรงงานกัมพูชาคิดเป็น 20% ของแรงงานทั้งหมด ขณะที่การดำเนินธุรกิจยังปกติ แต่อาจต้องติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาต่อไป เราคาดส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม 2Q25 จะลดลงจากราคาขายในประเทศที่ลดลงของ GFN และไม่มีรายการพิเศษจาก McKey เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 552 ลบ. -13.5% q-q, -5% y-y ด้วยโมเมนตัมกำไรและราคาไก่ที่ไม่ตื่นเต้น เราปรับลดคำแนะนำจาก “ซื้อ” เป็น “ถือ” ราคาเป้าหมายใหม่ 12 บาท
(-) KSL: แนวโน้มกำไรยังไม่สดใส เพราะราคาน้ำตาลปรับลง และยังมีความเสี่ยงจากประเด็นกัมพูชา แนวโน้ม 2H25 ไม่สดใสนัก เพราะผู้ประกอบการน้ำเชื่อมในไทยยังถูกแบนจากจีน ทำให้ demand ในประเทศอ่อนแอ คาดปริมาณขายอีก 2 ไตรมาสที่เหลือจะใกล้เคียงกับช่วง 1H25 ขณะที่ราคาน้ำตาลปรับลงต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มราคาขายน้ำตาลใน 2H25 อ่อนตัวลงเช่นเดียวกัน และฝนที่ตกดีในปีนี้ ทำให้ผลผลิตน้ำตาลไทยและโลกสูงขึ้น โดยคาดการณ์ภาวะน้ำตาลโลกปี 2025/26 จะยังเกินดุลราว 4.1 ล้านตัน เป็นการเกินดุลปีที่ 4 ติดต่อกัน และสูงสุดในรอบ 8 ปี ถือเป็นลบต่อราคาน้ำตาล
(-) AOT: ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีคิงเพาเวอร์ขอหารือยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรีที่ครอบคลุมสัญญา 3 ฉบับ ทั้ง 5 สนามบิน AOT จะว่าจ้างที่ปรึกษามาเสนอความเห็น ใช้เวลา 60 วัน ก่อนคัดเลือกแนวทางเหมาะสม ในระหว่างที่ยังไม่ได้ข้อสรุป คิงเพาเวอร์ยังคงต้องชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนปกติตามสัญญา ปัจจุบันวงเงิน Bank guarantee ของคิงเพาเวอร์ยังเพียงพอและครอบคลุมภาระหนี้ ผู้บริหาร AOT ระบุว่าอยู่ระหว่างพยายามปรับปรุงโครงสร้างค่าตอบแทนผลประโยชน์กับผู้ประกอบการรายต่างๆ ในสนามบินให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย รวมถึงเดินหน้าเพิ่มรายได้ที่เกี่ยวข้องกับการบิน
(0) หุ้นเข้า-ออก SET50/100 งวด 2H25
SET50 หุ้นเข้า: BCP, KKP, TCAP, TIDLOR
หุ้นออก: BGRIM, GLOBAL, ITC, SAWADSET100 หุ้นเข้า: AURA, JTS, MBK, TFG, TOA, WHAUP
หุ้นออก: CKP, COCOCO, ROJNA, SAPPE, SKY, SNNP
(+) ตลาดดาวโจนส์: เพิ่มขึ้น 317.30 จุด หรือ +0.75%, ปิดที่ 42,515.09 จุด โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ชะลอตัวลง หลังจากอิหร่านส่งสัญญาณพร้อมเจรจาเพื่อยุติการสู้รบกับอิสราเอล นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังปรับตัวลงหลังจากมีรายงานว่าการสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตและการส่งออกน้ำมันดิบ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลที่ว่าการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันจะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น
(+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก: หลังจากหุ้นกลุ่มบริษัทสินค้าหรูหราอย่างเคอริง (Kering) พุ่งขึ้นแรงจากการประกาศเปลี่ยนตัวประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และนักลงทุนเริ่มลดความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันตลาดก่อนหน้านี้
(0) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกสลับลบ รอความชัดเจนเรื่องการสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน
(-) ค่าเงินบาทอ่อนค่าอยู่ที่บริเวณ 32.43 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ -0.09%
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 1.21 ดอลลาร์ หรือ 1.66% ปิดที่ 71.77 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีรายงานว่าอิหร่านกำลังพยายามยุติการเป็นปรปักษ์กับอิสราเอล ซึ่งส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการทำข้อตกลงหยุดยิง โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของอุปทานน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง ขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 73.18 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +1.96%
(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 35.50 ดอลลาร์ หรือ 1.03% ปิดที่ 3,417.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 สัปดาห์ ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน รวมทั้งผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ ขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 3,418.60 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ +0.04%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 941.93 / +0.15%
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
17 มิ.ย. | ญี่ปุ่น: ประชุม BoJ เยอรมนี: ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ (มิ.ย.) สหรัฐฯ: ยอดค้าปลีก (พ.ค.) |
18 มิ.ย. | อังกฤษ: BoE Meeting, เงินเฟ้อ (พ.ค.) สหรัฐ: Fed Meeting, Housing Starts (พ.ค.) |
20 มิ.ย. | ญี่ปุ่น: เงินเฟ้อ (พ.ค.) จีน: Loan Prime Rate 5Y |
23 มิ.ย. | ไทย: ส่งออก (พ.ค.) สหรัฐ: Existing Home Sales (พ.ค.) |
24 มิ.ย. | จีน: National People’s Congress standing committee |