KS Daily View 20 มิ.ย. 2025>>> SET Index ของไทยมีแนวโน้มแกว่งตัว ในกรอบ 1,050-1,070 จุด มองว่าภาพของตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ภาวะความผันผวนสูงจากความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่เร่งระดับต่อเนื่องระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน และอาจลุกลามไปยังประเทศอื่น แนะนำ AURA และ PTTEP
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หยุดทำการ เนื่องจากเป็นวันหยุดเนื่องในวันประกาศอิสรภาพแห่งชาติ Juneteenth
ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,068.73 จุด ปรับตัวลดลง 25.85 จุด (-2.36%) จากการปรับลงของกลุ่มพลังงาน, ค้าปลีก, สื่อสาร จากปัจจัยเชิงลบของความไม่แน่นอนทางการเมืองที่กดดันต่อเนื่องจากวันที่ผ่านมา ในวันนี้ เราคาดว่า SET Index ของไทยมีแนวโน้มแกว่งตัว ในกรอบ 1,050-1,070 จุด มองว่าภาพของตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ภาวะความผันผวนสูงจากความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่เร่งระดับต่อเนื่องระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน และอาจลุกลามไปยังประเทศอื่นหลัง มีรายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมกับอิสราเอลหรือไม่ โดยกล่าวว่าจะตัดสินใจภายใน 2 สัปดาห์ ในขณะเดียวกันปัจจัยในประเทศตลาดจับตาดูทิศทางของพรรคร่วมรัฐบาลว่าจะหนุนต่อหรือถอนตัวออกไป
ในส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ AURA และ PTTEP เป็น proxy ในการ hedge ราคาพลังงานที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งคาดว่าให้อัตราเงินปันผลในระดับสูง
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
- อิหร่านกำลังพิจารณาแผนการปิดช่องแคบฮอร์มุซเพื่อตอบโต้ต่อการคุกคามจากศัตรู โดยช่องแคบฮอร์มุซเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่มีการขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวและน้ำมันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% และ 20% ของตลาดโลกตามลำดับ ทั้งนี้มีรายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมกับอิสราเอลหรือไม่ โดยกล่าวว่าจะตัดสินใจภายใน 2 สัปดาห์ มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อราคาน้ำมันและหุ้นกลุ่มพลังงาน อย่าง PTTEP
- ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศรายชื่อ 3 กลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับความเห็นชอบให้ดำเนินการจัดตั้ง Virtual Bank ได้แก่ 1) บริษัท เอซีเอ็ม โฮลดิ้ง (กลุ่มทรูมันนี่), 2) กลุ่มธนาคารกรุงไทยร่วมกับ AIS และ OR, และ 3) กลุ่ม SCB X ร่วมกับ WeTechnology และ KakaoBank โดยมองเป็นกลางต่อประเด็นดังกล่าว ผลการคัดเลือกถือว่า in line กับที่คาดหวังไว้และในระยะสั้น กลุ่มหุ้นที่ได้ licenses เช่น KTB และ SCB คาดจะมีผลขาดทุนเข้ามาเล็กน้อยในช่วง 3-5 ปีหลังประกอบการ และเราคาดผลกระทบต่อภาพรวมอุตสาหกรรมจะยังไม่มีนัยสำคัญ
- กบน. มีมติปรับลดอัตราเงินจัดเก็บจากน้ำมันดีเซลลง 70 สตางค์ต่อลิตร เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2025 เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ ท่ามกลางวิกฤตราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยเป็นการลดอัตราครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 ภายในสัปดาห์ ส่งผลให้รายรับจากน้ำมันดีเซลในกองทุนลดลงจาก 62.97 ล้านบาทต่อวัน เหลือ 19.47 ล้านบาทต่อวัน มองว่าหากราคาน้ำมันยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอาจส่งผลให้ค่าการตลาดของปั๊มน้ำมันอย่าง PTG และ OR ปรับตัวลดลงในอนาคต
- เจ้าหน้าที่ในยุโรปส่วนใหญ่ยอมรับ Reciprocal tariff ที่ 10% ซึ่งถือเป็นเกณฑ์มาตรฐานในการตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านบางกลุ่มเสนอให้ ต่อรองอัตราภาษีให้ต่ำกว่า 10% ที่เป็นไปได้ยาก ทั้งนี้หากไม่สามารถตกลงได้ก่อนวันที่ 9 กรกฎาคม ภาษีตอบโต้จากฝั่งสหรัฐฯ อาจพุ่งสูงถึง 50% จะกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ เหล็ก อลูมิเนียม และสินค้าอื่น ๆ ของยุโรปอย่างรุนแรง มองว่าหากการเจรจาการค้าระหว่าง EU และ สหรัฐสามารถตกลงกันได้อาจหนุนให้ราคาหุ้นกลุ่มส่งออกมีการฟื้นตัว
- KAMART มีมติประกาศซื้อหุ้นคืนใน จำนวนที่ซื้อหุ้นคืนกำหนดไว้ที่ไม่เกิน 30 ล้านหุ้น ในช่วงระยะเวลาที่ไม่เกิน 6 เดือน โดยใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในการซื้อหุ้นคืนและเริ่มดำเนินซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 19 มิ.ย. 2025 เป็นต้นไป
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
- AURA: ราคาพื้นฐาน 20.10 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ AURA จากการแนวโน้มของราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความไม่สงบในตะวันออกกลางส่งผลให้เกิด volume สูงขึ้นในช่วงทองขาขึ้นโดยกำไรที่ดีขึ้นมาจากฝั่งขารับซื้อทอง รวมไปถึงเราคาดธุรกิจทองมาเงินไปจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งเช่นกัน โดยเรามองการเติบโตของสินเชื่อทองมาเงินไปจะขึ้นไปที่ 5.1 พันล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 4.5%QoQ โดย AURA มีสาขาเพิ่มเป็น 508 สาขา ณ สิ้น 1Q25 เราคาดการณ์ปีนี้จะเป็นปีทองต่อเนื่องของ AURA โดยมีเป้าหมายการเติบโตที่ระดับ 20-30% จากการขยายสาขา 156 สาขาในปี 2025 และตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อมาอยู่ที่ 7.5 พันล้านบาท เราคาดการณ์การ AURA จะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องไปยัง ปี 2027
- PTTEP: ราคาพื้นฐาน 116.00 บาท
เราแนะนำเก็งกำไร PTTEP เพื่อเป็น proxy ในการ hedge ราคาพลังงานที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องสำหรับสงครามในตะวันออกกลาง และท่าทีของ อิหร่านที่จะมีโอกาสปิดช่องแคบฮอร์มุส ซึ่งนับเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการส่งออกพลังงานจากตะวันออกกลางคิดเป็นราว 20% ของการค้าพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ หากช่องแคบนี้ปิดตัวลงคาดจะส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานในระยะยาว จนกว่าเหตุการณ์จะสงบลง นอกจากนี้ ผู้บริหารให้มุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มราคาน้ำมันและปริมาณการผลิตของบริษัท โดยราคาน้ำมันผู้บริหารมองว่าจะอยู่ในกรอบ 65-75 เหรียญ/บาร์เรลจากความไม่แน่นอนของความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ อีกทั้ง ต้นทุนของผู้ผลิต US shale oil ก็ปรับเพิ่มจากวัฏจักรก่อนหน้าเป็น 60 เหรียญ/บาร์เรล โดยในส่วนของปริมาณผลิต ผู้บริหารมองว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดของปีแล้วในไตรมาส 1/25 เนื่องจากกิจกรรมการปิดซ่อมบำรุงจะลดลงในช่วงที่เหลือของปี
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันศุกร์ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของญี่ปุ่น (Japan Inflation) เดือน พ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +3.5% YoY ลดลงเดือนก่อนหน้าที่ +3.6% YoY และเงินเฟ้อที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ตลาดคาดการณ์ที่ 3.2% YoY เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 3.0% YoY ปิดท้ายด้วยการรายงาน Loan prime rate ของธนาคารกลางจีนเดือน ต.ค. ระยะเวลา 1 ปีคาดการณ์ไว้ที่ 3.0% ทรงตัวจากครั้งก่อนหน้า และ Loan prime rate อายุ 5 ปีคาดการณ์ไว้ที่ 3.5% ทรงตัวจากครั้งก่อนหน้า