Daily Focus: ปัจจัยการเมืองสัปดาห์หน้ายังจำกัด Upside ดัชนี

ตลาดหุ้นวานนี้: SET Index แกว่งตัว Sideways ตามคาด โดยระหว่างวันมีแรงซื้อหนุนดัชนีปรับขึ้นใกล้แนวต้าน 1,120 จุด แต่ช่วงท้ายชะลอตัวลงก่อนปิดลบบางๆ 0.96 จุด ที่ระดับ 1,106.73 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.2 หมื่นลบ. สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องแต่บางลงเหลือ 351 ลบ. และ 765 ลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติพลิกมา Long Index Futures สุทธิเล็กน้อย 3.9 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้: เราคาดว่า SET Index จะยังคงแกว่งตัว Sideways to Sideways Up ในกรอบ 1,100–1,120 จุด โดยปัจจัยต่างประเทศยังมีแรงหนุนอ่อนๆ จากความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของ FED ที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยการเมืองในประเทศสัปดาห์หน้าที่ต้องติดตามคาดว่ายัง Overhang ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา GDP 1Q25 ถูกปรับลงจาก -0.2% เป็น -0.5% q-q SAAR โดยมีการปรับลดตัวเลขการใช้จ่ายลงและต่ำสุดตั้งแต่ช่วงโควิด ทำให้ตลาดคาดหวังมากขึ้นว่า FED มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้งในปีนี้ (สูงกว่า Dot Plot ที่มอง 2 ครั้ง) ส่งผลให้ Bond Yield ขยับลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ติดต่อกันราว 20 bps โดยคืนนี้ติดตามตัวเลขสำคัญคือเงินเฟ้อ PCE เดือน พ.ค. ตลาดคาด Core PCE +0.1% m-m, +2.6% y-y ขยับขึ้นจากเดือนก่อน

ส่วนปัจจัยในประเทศ ประเด็นหลักยังคงอยู่ที่การเมืองที่ยังมีความไม่แน่นอน โดยสัปดาห์หน้าต้องติดตามว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับ/ไม่รับคำร้องปมคลิปสนทนาของนายกฯ รวมถึงจะสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ขณะที่สภาฯ จะเปิดสมัยประชุมอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังเข้าใกล้กำหนดวันที่สหรัฐฯ จะเริ่มเก็บภาษีตอบโต้ 9 ก.ค. ซึ่งยังไม่เห็นพัฒนาการในด้านการเจรจาการค้าระหว่างไทย–สหรัฐฯ มากนัก โดยยังไม่ได้มีการระบุวันเจรจาอย่างเป็นทางการ ภาพรวมวันนี้คาดว่าการเคลื่อนไหวของดัชนีจะยังจำกัด โดยรวมเรายังเน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว แนวโน้มกำไรแข็งแรง และกระทบจำกัดจากความเสี่ยงต่างๆ

กลยุทธ์: เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและมีแนวโน้มผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง

หุ้นเด่นเดือน มิ.ย.: CPALL, MTC, OSP, SJWD, STECON

FSSIA Portfolio: BA, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, PR9, STECON

หุ้นเด่น Finansia 27 มิ.ย. 25 : KTC

  • แนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจาก IAA Consensus ราว 40 บาท
  • ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรง 50% YTD และ 34% MTD จากประเด็นการถูก Force Sell เปิดโอกาสให้หุ้น Rebound ในระยะถัดไปจากสัญญาณเทคนิคที่ Oversold และปัจจัยพื้นฐานที่ไม่เปลี่ยนแปลง
  • ตลาดประเมินกำไรปี 2025-26 ราว 7.6 พันลบ.และ 7.8 พันลบ. ตามลำดับ เติบโตได้เล็กน้อย โดยราคาหุ้นปัจจุบัน เทรดบน PER เพียง 8.5 เท่า และให้ Dividend Yield สูงราว 5% ซึ่งน่าสนใจเป็นอันดับต้นๆของกลุ่มไฟแนนซ์
  • แนวรับ 24//23 บาท แนวต้าน 27-27.75//29.50 บาท

Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าภูมิภาคสุทธิอีก US$802 ล้าน โดยยังคงกระจุกตัวที่ไต้หวัน US$1,226 ล้าน ส่วนเกาหลีใต้ไหลออกเร่งขึ้นเป็น US$552 ล้าน ด้านอาเซียนเม็ดเงินไหลเข้าไทยต่อเนื่องและสูงสุดที่อินโดนีเซีย US$125 ล้าน แต่ไหลออกจากฟิลิปปินส์และเวียดนามบางๆ ประเทศละ US$10–11 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ายังค่อนข้างไปในทิศทางไหลเข้า โดยตลาดยังคาดหวังการปรับลดดอกเบี้ยของ FED ที่อาจมากกว่า 2 ครั้งในปีนี้

ประเด็นสำคัญวันนี้

(0) DELTA คาดกำไรปกติ 2Q25 ที่ 5.9 พันลบ. +19% q-q, flat y-y ดีกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้านี้ โดยคาดรายได้รวมน่าจะมีโอกาสทำนิวไฮใหม่ที่ US$1.34 พันล้าน +8% q-q, +19% y-y แม้ธุรกิจ EV จะอ่อนแอ แต่จะถูกชดเชยจากคำสั่งซื้อ AI ที่แข็งแกร่งมากกว่า ส่วน 3 รายการพิเศษคือ FX loss, การตั้งสำรองสินค้าคงคลัง และความเสียหายจากคดีฟ้องร้องกับคู่แข่งที่เรายังไม่ทราบมูลค่าแต่ไม่กระทบกระแสเงินสด ทั้งหมดจะถูกบันทึกในงบ 2Q25 เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2025 ขึ้น 14% เป็น 2.24 หมื่นลบ. +11% y-y และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 72 บาท เราชอบโมเมนตัมกำไรที่ดีขึ้นและคดีฟ้องร้องที่จบเร็ว แต่ Valuation ยังแพง ในเชิงพื้นฐานยังแนะนำ “ขาย”

(+) GULF เข้าซื้อหุ้น 50% ในบริษัทย่อยของ GUNKUL ที่เป็นผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 9 โครงการ รวม 460.8 MW มูลค่า 704 ลบ. ภายใต้รูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการในช่วงปี 2026–30 เรามีมุมมองเชิงบวกกับการเข้าซื้อหุ้นในโครงการดังกล่าวในระยะยาว เนื่องจากเป็นการผนึกความแข็งแกร่งระหว่างสองกลุ่มบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และสนับสนุนเป้าการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 40% ภายในปี 2035 ส่วนระยะสั้นจะยังไม่หนุนหรือกระทบรายได้และกำไรของ GULF และยังไม่ได้รวมในประมาณการของเรา เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 อยู่ที่ 2.5 หมื่นลบ. +20% y-y ราคาเป้าหมาย 57.70 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”

(0) CBG จากการปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชาทั้งหมดส่งผลกระทบต่อขนส่งสินค้าของบริษัทที่มีรายได้จากส่งออกไปกัมพูชาราว 15% ของรายได้รวม อย่างไรก็ดีบริษัทกำลังจะหันมาส่งออกทางเรือเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น ส่วนการก่อสร้างโรงผลิตเครื่องดื่มในกัมพูชาจะเร่งให้เปิดดำเนินการเร็วขึ้นเป็นสิ้นปีนี้จากเดิม 1Q26 เราคาดกำไรสุทธิ 2Q25 อยู่ที่ 828 ลบ. +9% q-q, +20% y-y ยังคงแข็งแกร่งจากการฟื้นตัวของรายได้ในประเทศ บริษัทยังคงส่วนแบ่งตลาดที่ 25.5% ทรงตัวจาก 1Q25 และเพิ่มขึ้นจาก 24.1% ใน 2Q24 อย่างไรก็ดีแนวโน้มรายได้ 3Q25 เป็นต้นไปคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คงประมาณการกำไรปี 2025 +12.5% y-y ราคาเป้าหมาย 74 บาท แนะนำ “ซื้อ”

(+) TFM บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 8–10% และอัตรากำไรขั้นต้น 18–20% จากการเติบโตในประเทศและภาพรวมการเลี้ยงกุ้งและปลาที่ยังดี ระยะสั้นคาดกำไร 2Q25 จะเติบโตทั้ง q-q และ y-y ลุ้นทำนิวไฮอีกครั้ง ขณะที่แนวโน้ม 3Q25 คาดยังยืนสูงต่อเนื่องจาก High Season ของธุรกิจ ด้านฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีเงินสดราว 1 พันลบ. และ IBD/E ต่ำเพียง 0.08 เท่า และให้ Dividend Yield 10–11%

(0) หุ้นเข้า–ออก SET50/100 งวด 2H25

  • SET50 หุ้นเข้า: BCP, KKP, TCAP, TIDLOR / หุ้นออก: BGRIM, GLOBAL, ITC, SAWAD
  • SET100 หุ้นเข้า: AURA, JTS, MBK, TFG, TOA, WHAUP / หุ้นออก: CKP, COCOCO, ROJNA, SAPPE, SKY, SNNP

(+) ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 404.41 จุด หรือ +0.94%, ปิดที่ 43,386.84 จุด ขานรับมุมมองว่าข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอจะสนับสนุนให้ FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ นอกจากนี้ตลาดยังได้แรงหนุนจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่คลี่คลายลงหลังจากอิสราเอลและอิหร่านบรรลุข้อตกลงหยุดยิง

(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกเล็กน้อย นักลงทุนประเมินสัญญาณล่าสุดเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยของสหรัฐฯ โดยเจอโรม พาวเวล ประธาน FED กล่าวในรัฐสภาว่าหากไม่เป็นเพราะแรงกดดันเงินเฟ้อจากมาตรการขึ้นภาษีของรัฐบาลทรัมป์ FED อาจยังคงลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปได้

(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวกตามทิศทางตลาดสหรัฐฯ ขานรับมุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอจะสนับสนุนการลดดอกเบี้ยของ FED

(+) ค่าเงินบาท แข็งค่าอยู่ที่บริเวณ 32.51 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ -0.10%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 32 เซนต์ หรือ 0.49% ปิดที่ 65.24 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้ปัจจัยหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ลดลงเนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นในฤดูขับขี่ยานยนต์ช่วงฤดูร้อน อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันลดช่วงบวกหลังจากความเสี่ยงด้านอุปทานในตะวันออกกลางลดน้อยลง ขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 65.39 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.23%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 4.90 ดอลลาร์ หรือ 0.15% ปิดที่ 3,348.00 ดอลลาร์/ออนซ์ นักลงทุนรอดูการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ วันนี้เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยของ FED รวมทั้งจับตาสถานการณ์ในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด ขณะที่เช้านี้ราคาทองคำลดลงอยู่ที่ระดับ 3,331.00 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ -0.51%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 953.39/-

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

27 มิ.ย.สหรัฐ: Core PCE Price index (พ.ค.)
30 มิ.ย.จีน: NBS Manufacturing PMI (มิ.ย.)
1 ก.ค.สหรัฐ: ISM Manufacturing PMI (มิ.ย.)

ยูโรโซ: เงินเฟ้อ (มิ.ย.)

จีน: Caixin Manufacturing PMI (มิ.ย.)

3 ก.ค.สหรัฐ: Non-Farm Payrolls (มิ.ย.), นำเข้า/ส่งออก (พ.ค.), ISM

Manufacturing PMI (มิ.ย.)

7 ก.ค.ไทย: เงินเฟ้อ (พ.ค.)
- Advertisement -