บล.พาย:

TU: Thai Union Group PCL

2Q25 อัตราแลกเปลี่ยนกดดันรายได้

เรายังแนะนำ “ซื้อ” เพราะราคาหุ้นปรับตัวลดลงมารับกับความกังวลถึงอัตราภาษีของสหรัฐฯ มากแล้ว ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปเบื้องต้นในช่วงต้นเดือน ก.ค. นี้ โดยคาดว่าจะไม่ถึงระดับสูงสุดที่เคยประกาศไว้ที่ระดับ 36% ขณะที่ผลประกอบการงวด 2Q25 หากไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน รายได้จะกลับมาเติบโตได้จากปีก่อน หลังจากลูกค้าหลักกลับมาสั่งตามปกติ ส่วนกำไรสุทธิเราคาดที่ 1,142 ล้านบาท ลดลง 6% YoY จากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้เราอาจจะมีการปรับกำไรทั้งปี หลังจากค่าใช้จ่ายภาษีส่วนเพิ่มจาก GMT มีแนวโน้มออกมาต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ เหลือ 100-150 ล้านบาท จากเดิมที่คาดไว้ที่ระดับ 300 ล้านบาท

2Q25 คาดกำไรสุทธิ 1,142 ล้านบาท (-6% YoY, +12% QoQ)

  • เราคาด TU มีกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 1,142 ล้านบาท (-6% YoY, +12% QoQ) เทียบกับปีก่อนลดลงเพราะแรงกดดันจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ส่วนการเพิ่มขึ้นจาก 1Q25 เป็นผลของการฟื้นตัวในทุกธุรกิจหลังเข้าสู่ช่วง High Season
  • รายได้คาดที่ 34,612 ล้านบาท (-2% YoY, +16% QoQ) การลดลงจากปีก่อนสาเหตุหลักจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น แม้ยอดขายในรูปสกุลต่างประเทศจะเติบโตในทุกธุรกิจ ยกเว้นอาหารแช่แข็ง ส่วนการเพิ่มขึ้นจาก 1Q25 ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจอาหารแปรรูป (Ambient) ที่ลูกค้ากลับมาสั่งตามปกติ และอาหารสัตว์เลี้ยงที่ยังเติบโตได้ดี
  • กำไรขั้นต้นคาดที่ 18.9% ดีขึ้นเล็กน้อยจากปี 2024 และ 1Q25 ได้รับผลดีจากกำไรขั้นต้นธุรกิจอาหารแปรรูปและอาหารแช่แข็งที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้กำไรขั้นต้นธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงจะกลับสู่ระดับปกติที่ 25% ก็ตาม ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดที่ 4,846 ล้านบาท (+6% YoY, +3% QoQ) เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายในการตลาดและที่ปรึกษาในการปรับโครงสร้างที่ยังมีอยู่ ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมคาดที่ 262 ล้านบาท (+46% YoY, -10% QoQ) เติบโตจากปีก่อนเพราะบริษัทร่วมที่อินเดีย ส่วนลดลงจาก 1Q25 เพราะผลกระทบตามฤดูกาล
  • ภาษีจ่ายคาดที่ 154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 247% YoY เพราะเริ่มได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษี GMT แล้ว

รอความชัดเจนของภาษี แต่มีข่าวดีตรง GMT น้อยกว่าคาด

ภาพรวมในช่วง 2H25 สิ่งที่ TU ต้องติดตามคืออัตราภาษีที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากประเทศไทย เพราะตลาดสหรัฐฯ เป็นสัดส่วนรายได้กว่า 40% ของรายได้รวม โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง โดย TU มีการประเมินว่ารายได้ทั้งปีจะเติบโตได้ประมาณ 1-3% หากมีการเก็บภาษีที่ระดับ 10% นอกจากนี้ยังติดตามเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนว่าจะอยู่ในระดับใดหลังจากแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกที่มีคือ ค่าใช้จ่ายภาษีจากผลกระทบของ GMT ที่เดิมคาดว่าจะมีเพิ่มเข้ามาประมาณ 300 ล้านบาท จะเหลือเพียง 100 – 150 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้อัตราภาษีจ่ายจะอยู่ในกรอบ 10-12.5% จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 12-14%

รอความชัดเจนจากภาษีก่อนปรับประมาณการ

หากกำไรสุทธิออกมาตามคาด จะทำให้กำไรปกติในช่วง 1H25 อยู่ที่ระดับ 1,764 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 47% ของกำไรทั้งปีที่เราคาดไว้ที่ 3,734 ล้านบาท ทำให้เราอาจจะมีการปรับประมาณการใหม่ โดยจะรอความชัดเจนเรื่องภาษีของสหรัฐฯ สำหรับคำแนะนำการลงทุน เรามองว่าราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาเพราะกังวลเรื่องภาษีสหรัฐฯ มากแล้ว อีกทั้งในปี 2026 จะเริ่มเห็นผลดีจากการปรับโครงสร้างบริษัทมากขึ้น เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” และประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 13.1 บาท (16x PER ’25E)

 

- Advertisement -